ตอนที่ 3506 : ต้วนหลิงเทียน ยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา?
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนได้ปรากฏขึ้นเหนือหัวของอวี๋ตงฟาง คนย่ำกระบี่สีเทาเล่มหนึ่ง กระบี่สีเทาดังกล่าวยังพิกลนัก ไอพลังที่แผ่ตัวกระบี่แผ่ซ่านออกมาทำให้พื้นที่โดยรอบบิดเบือนทั้งพับงอ ราวกับมีพลังอำนาจของห้วงมิติอัดแน่นเอาไว้
เปรียะ!
ทันใดนั้นเองแสงกระบี่พลันสาดส่องออกมาวาบหนึ่ง ยังผลให้ความว่างเปล่าโดยรอบปริฉีก เผยให้เห็นรอยแยกมิติอันน่าสะพรึงกลัว!
“เจ้า…หนีออกมาได้อย่างไร?”
อวี๋ตงฟางมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก แววตาของมันฉายชัดถึงความตกใจทั้งเหลือเชื่อ เมื่อครู่กระบวนท่าของมัน เห็นได้ชัดว่าปิดล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ทุกทางแล้ว ประหนึ่งปลาที่ติดอยู่ในข่ายฟ้าแหสวรรค์ชัดๆ!
ที่สำคัญพื้นที่มิติโดยรอบก็ถูกมันใช้พลังกระบี่รบกวน จนต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติได้เลย!!
แต่บัดนี้ต้วนหลิงเทียนกลับมาปรากฏตัวเหนือหัวมันได้อย่างไรก็ไม่ทราบ! ที่แท้อีกฝ่ายใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ? หรือวิธีผีสางอันใดกันแน่?
“ให้มันได้ยังงี้สิ!”
ผู้ชมหลายคนพอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน และไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากกระบวนท่าน่ากลัวของอววี๋ตงฟางเลย ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งกล่าวออกมาด้วยความถูกใจ หลายคนยังระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
มีอัจฉริยะหลายคนนักที่ไม่ทราบเส้นสนกลใน และคิดว่าต้วนหลิงเทียนเก่งกฏมิติ จึงน่าจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบหนีออกมา หรือไม่ก็ความลึกซึ้งส่งผ่าน
จนเมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ตงฟาง ทำให้พวกมันตระหนักได้ว่าพวกมันคิดตื้นเกินไป
“วิธีของเจ้าก็ใช้ได้อยู่ สามารถรบกวนพื้นที่มิติรอบๆ ทำให้ข้าไม่อาจใช้ความลึกซึงเคลื่อนมิติหลบหนีออกมาได้”
ต้วนหลิงเทียนที่ย่ำกระบี่สีเทากลางฟ้า ก้มลงมองอวี๋ตงฟางด้วยสาตาเฉยเมย กล่าวออกเสียงเรียบ “หากไม่ใช่เพราะข้าเชี่ยวชาญมรรคากระบี่มิติ คงยากที่จะหลบหนีออกมาได้”
“มรรคากระบี่มิติ!?”
ใบหน้าอวี๋ตงฟางเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ มันไม่คิดเลยว่าพลังที่มันใช้เพื่อจำกัดพื้นที่ให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเคลื่อนย้ายหลบหนี กลับไม่อาจป้องกันมรรคากระบี่มิติของต้วนหลิงเทียนได้!
“มรรคากระบี่มิติ ไม่ได้มีแค่กฏมิติเท่านั้น แต่ยังมีวิถีกระบี่อีกด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ “ตอนพบว่าเจ้าใช้พลังรบกวนพื้นที่โดยรอบ และข้ารู้สึกว่าไม่อาจใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบหนีออกมาได้…ข้าก็แค่ใช้มรรคากระบี่มิติของข้าทำลายพลังที่รบกวนพื้นที่ของเจ้าก่อน จากนั้นก็หลบออกมาเท่านั้น”
“ในเมื่อข้าเปิดโอกาสให้เจ้าลงมือเต็มกำลังแล้ว…ต่อไปก็ตาข้าบ้าง”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าท่าทีอวี๋ตงฟางก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ขณะเดียวกันแสงสีทองทั่วร่างของมันก็พวยพุ่งออกมา จนคนคล้ายกลับกลายเป็นมนุษย์ทองคำในพริบตา และดวงตะวันที่สาดแสงทองแรงกล้าเบื้องหลังมันก็อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์ ผสานรวมเข้าร่างของมันเป็นที่เรียบร้อย
ทันใดนั้นรอบกายอวี๋ตงฟางก็ปรากฏแสงกระบี่สีทองนับพันแข่งกันประชันแสง หมุนวนก่อเกิดค่ายกลกระบี่ชนิดหนึ่ง ให้ความรู้สึกดั่งปราการกระบี่ไร้เทียมทาน ยากจะมีสิ่งใดบุกฝ่าเข้าไปได้…
เห็นได้ชัดว่าอวี๋ตงฟางได้รวมรั้งพลังทั้งหมดเพื่อป้องกันตัวเอง เตรียมพร้อมต้านทานการลงมือของต้วนหลิงเทียน!
“ต้วนหลิงเทียนกำลังจะลงมือแล้วรึ!?”
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ทำให้สนามประลองที่เต็มไปด้วยเสียงคึกคักตื่นเต้นดังระงม กลับกลายเป็นเงียบสงบไร้เสียงใดในพริบตา แต่ละคนจับจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงที่แลดูเฉยๆสบายๆตาเขม็ง
ต่างจากความเฉยเมยแลดูผ่อนคลายของชายหนุ่มชุดม่วง ตอนนี้ด้านอวี๋ตงฟางแลดูตึงเครียดนัก ทั่วร่างของมันเปล่งแสงทองจ้าไม่หยุด ราวกับเทพเจ้าทองคำลงมาเยือนโลกหล้าเพื่อสาดแสงทองขับไล่ความมืดมิดทั้งมวล!
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเคลื่อนไหว
หากแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงบันลือโลกอะไรอย่างที่ทุกคนคาดหวัง เพียงยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนที่จะตบลงมาเบาๆไปทางอวี๋ตงฟางเท่านั้น
เปรียะ!
ฝ่ามือพอตบลงก็บังเกิดเสียงปริร้าวเสนาะหูหนึ่ง ต่อมา ณ จุดที่ฝ่ามือตบลง ความว่างเปล่าพลันสั่นไหวรุนแรง จากนั้นพื้นที่ก็เริ่มบิดเบือนพับงอ สุดท้ายก็ปริแตก ก่อเกิดแสงกระบี่พุ่งออกจากรอยแยกลงไปฉับไวปานเงาเลือนรางสายหนึ่ง
แสงกระบี่ดังกล่าวราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับมิติ ทุกที่ทางที่มันพุ่งผ่านห้วงมิติเพียงกระเพื่อมไหวเบาๆราวลมพัดผิวน้ำ
หากไม่สังเกตให้ดี เกรงว่าคงยากจะมองเห็นร่องรอยแสงกระบี่ดังกล่าวได้!
“จะปะทะกันแล้ว!”
ท่ามกลางสายตาทุกคน การลงมืออันไร้เรื่องราวของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดก็กำลังจะปะทะเข้ากับค่ายกลกระบี่ที่ปกป้องอวี๋ตงฟาง ด้านอวี๋ตงฟางที่เตรียมรอรับมืออยู่นาน ก็ได้ระเบิดพลังออกมาทั้งหมด ยังผลให้แสงทองรอบกายทั้งค่ายกลกระบี่ทอแสงจ้ายิ่งกว่าครั้งใด!
พร้อมกันนั้น แสงกระบี่สีทองรอบๆก็เสมือนมีชีวิต พวกมันพุ่งมาเกาะกลุ่มควบรวมสร้างปราการกระบี่ ณ จุดปะทะอย่างเดียว ไม่หลงเหลือไว้ปกคลุมทิศทางอื่นๆ! สภาวะพลังทวีความกล้าแข็งถึงขีดสุด ให้ความรู้สึกราวกับปราการแกร่งไร้ทลาย!!
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมาทุกคนก็รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง เพราะการปะทะกัน มันไร้ซึ่งแรงระเบิดหวือหวาอะไรอย่างที่คิดไว้…
ซัว!
ซัว!
เสียงแผ่วละมุนหูดังขึ้นเบาๆ ชวนให้ผู้คนรู้สึกฉงนใจนัก ทั้งที่ปราการกระบี่สีทองของอวี๋ตงฟางก็ยังมีสภาวะพลังกล้าแข็งดังเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน หากทว่าแสงกระบี่ของต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเพิกเฉยสิ่งกีดขวางทุกสิ่งอย่าง พุ่งผ่านปราการกระบี่ของอวี๋ตงฟางไปหน้าตาเฉย!!
ทำราวกับแสงกระบี่นี้เป็นพลังชนิดเดียวกับพลังของอวี๋ตงฟาง จึงไม่พบแรงต้านทานอันใด
ครู่ต่อมาภายใต้สายตาของทุกคน อวี๋ตงฟางที่เตรียมพร้อมรับมือ ก็ได้แต่ลอยร่างตะลึงงันปานตัวโง่งม
จากนั้นแสงกระบี่ของต้วนหลิงเทียน ก็พุ่งเข้าร่างอวี๋ตงฟางไปอย่างเงียบงัน และอยู่ๆสีทองที่สาดส่องออกมาทั่วร่างของอวี๋ตงฟางก็ค่อยๆหายไป แสงกระบี่ที่ก่อปราการแกร่งเองก็เริ่มหม่นหมองลง…
พริบตาต่อมาทุกคนก็เห็นสภาพร่างอวี๋ตงฟางชัดเจน
“ฟืด–!!”
และทันทีที่ทุกคนเห็นร่างอวี๋ตงฟาง ก็อดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ ในแววตายังฉายความสยองหวาดกลัวนัก หันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาก็เหลือแต่เพียงความหวาดกลัวเสียขวัญราวกับชมดูตัวหายนะ!
เพราะบัดนี้ ไม่มีอีกแล้วอวี๋ตงฟางที่แลดูปานคุณชาย เนื้อตัวทั่วร่างมันขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี โลหิตพุ่งทะลักออกมาชวนสยอง แข่งกันร่วงตกฟ้าไปเบ่งบานเป็นบุปผาสีเลือดดอกแล้วดอกเล่า ชุดคลุมหรูหราไม่ต่างผ้าขี้ริ้วขาดๆ
หากมองให้ดี ทั่วร่างของอวี๋ตงฟางไม่เว้นใบหน้าลูกตา ล้วนปรากฏรอยกระบี่เชือดเฉือนถี่ยิบ นับได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นแผล และแต่ละแผลก็เฉือนเนื้อลงลึกไปเท่าๆกันอย่างน่าทึ่ง เรียกว่าขอเพียงรอยกระบี่เหล่านี้ลึกกว่าเดิมสักครึ่งนิ้ว น่ากลัวอวี๋ตงฟางคงต้องดับดิ้นแน่แล้ว…
อวี๋ตงฟางอื้ออึงไปราววิญญาณหลุดออกจากร่างพักหนึ่ง ค่อยเร่งเร้าพลังเซียนอมตะออกมาห้ามเลือดรักษาอาการ บาดแผลทั่วร่างมันแม้แลดูชวนสยอง แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่มีบาดแผลไหนส่งผลกระทบถึงภายใน ทำให้อาศัยการเดินพลังเล็กน้อยก็สามารถฟื้นฟูได้
หลังอาการบาดเจ็บหายดีแล้วอวี๋ตงฟางก็สะบัดมือเรียกชุดคลุมตัวใหม่ออกมาสวมทับท่ามกลางสาตาของทุกคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
มันย่อมรู้ ว่าเป็นต้วนหลิงเทียนเมตตาปราณีมัน!
หาไม่แล้วมันต้องตายแน่ กระทั่งยังตายอนาถ!!
“ขอบ…ขอบคุณเจ้า”
อวี๋ตงฟางกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หันหลังและเหินร่างกลับอัฒจันทร์ที่นั่งของตัวเองทันที หากใครดูอยู่ จะพบว่าแผ่นหลังมันแลดูหงอยเหงาซึมเซานัก…
อวี๋ตงฟาง พ่ายแพ้
ยังพ่ายแพ้ยับเยิน!
หลังมองส่งแผ่นหลังเหงาๆของอวี๋ตงฟางพักหนึ่ง ทุกคนก็หันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาฉายชัดถึงความตื่นตระหนกตกใจครั้งยิ่งใหญ่!
ไม่มีใครคิดฝัน ว่าชายหนุ่มอายุได้ 600 ปีเศษ จะมีพลังน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!!
“นี่น่ะเหรอ…ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานแห่งจี้เมี่ยเทียน?”
“ข้าเกรงว่าคงมีแต่ตัวตนเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะคู่ควรเป็นศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานแห่งจี้เมี่ยเทียน!”
“ร้ายกาจนัก…การลงมือของอวี๋ตงฟาง ในแง่พลังทำลายก็ทรงพลังสุดที่เทพสงคราม 5 ดาราทั่วไปจะต้านทานได้แล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนกลับแก้ไขได้ง่ายๆ ข้ารู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือแล้วแน่นอน มิฉะนั้นไฉนถึงสยบอวี๋ตงฟางได้อย่างไร้เรื่องราวนัก?”
“เท่าที่ข้าดู ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน…ให้มองไปท่ามกลางบรรดาเทพสงคราม 5 ดาราที่ปรากฏตัวออกมาในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ก็สมควรเป็นรองแค่หวงเฉวียนอันคนเดียวเท่านั้น!”
…
การลงมือของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ด้วยอากัปรกิริยาผ่อนคลายสบายๆนั่น บอกให้ทุกคนรู้ชัดเจน ว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา แต่ทว่ายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดกลับทำได้ถึงขนาดนี้ น่ากลัวพลังที่แท้จริงต้องแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือแน่!
อวี๋ตงฟางที่ไม่ได้อ่อนด้อยเลยในบรรดาเทพสงคราม 5 ดาราที่ปรากฏตัวออกมา กลับพ่ายแพ้ยับเยิน!
“พวกเจ้าสังเกตเรื่องนี้หรือไม่…ตั้งแต่ที่อวี๋ตงฟางเปิดเผยพลังระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกมา มันก็แพ้ติดต่อกัน 2 นัดรวดเลย…”
“จะว่าไปก็เป็นแบบนั้นจริงๆ รอบแรกมันเจอหวงเฉวียนอัน มาตอนนี้ว่าก็โดนดีจากต้วนหลิงเทียนอีก…ไฉนมันโชคร้ายนักเล่า?”
“ข้าว่าตอนนี้มันสมควรมีเงาในใจแล้วกระมัง?”
…
ไม่นานนักบรรากาศในสนามประลองก็เริ่มหวนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เหล่าอัจฉริยะก็เริ่มเปิดประเด็นขบขันขึ้นมากล่าวกันอย่างสนุกสนาน
“น้องฟงท่าน…ความแข็งแกร่งของศิษย์หลานต้วนช่างน่าทึ่งจริงๆ…ว่าแต่นี่ยังมิใช่พลังที่แท้จริงของศิษย์หลานต้วนกระมัง?”
ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนพอได้สติกลับมา ก็หันไปมองจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง ด้วยสีหน้าประหลาดใจ อดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการจากฟงชิงหยาง
ฟงชิงหยางเพียงคลี่ยิ้มอ่อนๆให้มันเท่านั้น
“นี่ยังไม่ใช่พลังทั้งหมดจริงๆรึ!?”
ทว่าพอเห็นฟงชิงหยางส่งยิ้มมา ด้วยความเข้าใจที่ติงฟู่มีต่อฟงชิงหยาง ก็รู้ดีว่าสิ่งนี้แทนความมั่นใจของฟงชิงหยาง
มั่นใจในตัวศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวขนาดนี้เลย!?
‘ต้วนหลิงเทียนนั่น…ข้าต้องชิงร่างมันมาให้จงได้!’
เหนืออัฒจันทร์ฝั่งหนึ่ง บนเกาะลอยเล็กๆ ร่างในจีวรหลวมๆกำลังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย ความปรารถนาในแววตายิ่งมายิ่งท่วมท้น
ทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนลงมือสร้างความประหลาดใจ มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดอยากจะพุ่งไปลักพาตัวต้วนหลิงเทียนไปจากที่นี่…
เรียกว่าหากความยับยั้งชั่งใจมันน้อยกว่านี้เพียงครึ่งส่วน คงได้พุ่งพรวดออกไปอุ้มต้วนหลิงเทียน เพื่อลักพาตัวคนไปจากที่นี่แน่แล้ว
‘ต้วนหลิงเทียนนั่น…วิหารเฟิงฮ่าวของเราต้องได้ตัวมันมา!’
กระทั่งฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเอง แม้สีหน้าท่าทีของมันจะแลดูสงบยามมองไปที่ต้วนหลิงเทียน แต่อันที่จริงแล้วในใจมันเต็มไปด้วยความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า
การแสดงของต้วนหลิงเทียน นับว่าเหนือความคาดหมายของมันมาก
การประยุกต์ใช้วิถีควบคุมกับกฏมิตินั่น เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน
ยิ่งการผสานวิถีกระบี่กับกฏมิติจนเกิดเป็นมรรคากระบี่มิตินั่นอีก ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมนัก! ภายใต้กระบวนท่าอันทรงพลังนั่นของอวี๋ตงฟาง ไม่คิดเลยว่าจะสร้างไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน!
ปกติแล้วกระบวนท่านั่นของอวี๋ตงฟาง หากเป็นเทพสงคราม 5 ดาราทั่วๆไป เกรงว่าคงยากจะต้านทานรับไว้ได้ไหว ยิ่งไม่มีทางหลบหนีออกมาได้อย่างไร้เรื่องราวแน่!
“พี่น้องต้วน…ท่านมันร้ายจริงๆ ทุกครั้งที่ท่านลงมือล้วนสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นตลอด…ว่าแต่นี่ท่านยังมีไพ่ตายใบอื่นซ่อนอยู่หรือไม่?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกลับมา ถังซานเป่าที่สองตาทอประกายจ้าก็เร่งกล่าวถามด้วยรอยยิ้มสดใสทันที
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ข้าเจอเจ้าในสนามประลองก่อน เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มตอบ
เดิมทีเขาคิดว่าพอได้ยินคำพูดของเขา ถังซานเป่าจะออกอาการอะไรมากเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่ารอบนี้ถังซานเป่าจะมองจ้องเขาด้วยสายตาลึกล้ำกล่าวตอบมาอย่างจริงจัง “ข้าจะรอดู!”
เรียกว่าอยู่ๆความรู้สึกที่ส่งออกมาจากร่างถังซานเป่าคล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่เหลือความขี้เล่นเฮฮา กลับกลายเป็นคนจริงจังเคร่งขรึม
“อันดับที่ 10”
ฉีคงไห่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง และความสนใจของทุกคนก็หวนกลับมายังร่างของมันทันที “อันดับที่ 10 เหรอ…หลิวสื่อเยียน!”
หลิวสื่อเยียนเป็น 1 ใน 11 เทพสงคราม 5 ดารา และยังเป็นเทพสงคราม 5 ดาราคนสุดท้ายที่เผยตัวออกมาในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ที่สำคัญนางยังเป็นสตรี…