ตอนที่ 1939 : ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ ?

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1939 : ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ ?

“ถูกต้อง ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ เจ้าได้สร้างผลงานมากมายให้กับจักรวรรดิ” จักรพรรดิซีพยักหน้า เขาไม่ได้ปฏิเสธความจริงนี้

สีหน้าของผู้พิทักษ์จักรพรรดิดูดีขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาคิดว่าจักรพรรดิซีคงปล่อยเขาไป

แต่น้ำเสียงของจักรพรรดิซีกลับดูเย็นชาขึ้นมา ความอาฆาตแผ่ออกมาจากตัวเขาและมันก็เพียงพอทำให้มิติรอบข้างเปลี่ยนไปได้ นกและสัตว์อสูรทุกตัวที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันเงียบและทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับสั่นกลัว

“แต่ผลงานที่เจ้าทำไม่อาจจะชดใช้กับสิ่งที่ข้าสูญเสียไปได้ เจ้าไม่อาจจะชดเชยความเจ็บปวดของข้าได้ ข้าแค่ระบายความโกรธแค้นด้วยการฆ่าทุกคนที่ไล่ล่าข้าในอดีต” จักรพรรดิซีพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา น้ำเสียงเย็นชาของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“ซีไซหยุน แม้ว่ามันจะอันตรายตอนที่เจ้ากับภรรยาโดนไล่ล่า แต่สุดท้ายเจ้าก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ ? เจ้าบอกว่าสูญเสียบางอย่างไป เจ้าสูญเสียอะไรไป ? แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียสมบัติที่ล้ำค่าตอนที่ถูกไล่ล่า แต่ทุกคนที่โดนเจ้าฆ่าไปนั้นยังไม่เพียงพออีกหรือ ? ซีไซหยุน ข้าเองก็มีส่วนในเรื่องนี้แต่ข้าไม่ได้ไปไล่ล่าเจ้าด้วย ข้าแค่คอยบงการและทำให้เจ้ากลับมาอย่างยากลำบาก แม้ว่าข้าจะผิดแต่ข้าก็ไม่สมควรตาย ข้าเต็มใจที่จะชดใช้ให้เจ้า” ผู้พิทักษ์จักรพรรดิพพยายามที่จะกล่อมจักรพรรดิซี นี่เป็นเพราะเขาไม่อาจจะหนีได้ต่อหน้าจักรพรรดิซีในตอนนี้

พวกเขาต่างก็อยู่ขอบเขตตั้งต้น แต่ความแตกต่างระหว่างขั้นอสงไขยและขั้นบรรพกาลนั้นมากเกินไป มันราวกับฟ้ากับเหว

“ฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิซีหัวเราะออกมา เขาหัวเราะออกมาดูบ้าคลั่ง “ทำให้ข้ากลับมาอย่างยากลำบาก เจ้าทำเช่นนั้นจริง…ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ หากเจ้าไม่คอยบงการและคิดทำร้ายข้า เรื่องมันจะพัฒนาขึ้นมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง ? ”

“ถ้าเจ้าไม่คอยบงการ ทำไมข้า ซีไซหยุน จะบ้าคลั่งและฆ่าคนไปมากมายเช่นนี้ด้วย ? ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดใครมากที่สุด ? ไม่ใช่คนที่คอยไล่ล่าข้า แต่เป็นคนที่คอยบงการ พวกนั้นสมควรตาย”

ตอนที่เขาพูดประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชาอย่างมาก เขากัดฟันพูดออกมา เขาไม่ได้ยับยั้งความโกรธที่มีในใจและฟาดฝ่ามือเข้าใส่ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ

นี่คือการโจมตีจากจักรพรรดิซี มันมีพลังขั้นบรรพกาล ด้วยการโจมตีนี้โลกเข้าสู่ความเงียบ พลังงานดั้งเดิมนั้นหยุดไหล, กฎในโลกโดนรบกวน และแม้แต่มิติก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรงจนแทบจะพังลง

การโจมตีนี้เพียงพอที่จะทำลายโลกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะจักพรรดิซีจงใจยั้งมือเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพลังอันน่ากลัวคงเพียงพอที่จะทำลายทั้งภาคก่อนที่การโจมตีนี้จะปะทะกับอีกฝ่ายได้

ชัดแล้วว่าผู้พิทักษ์จักรพรรดิไม่ได้รอความตายอยู่เฉย ๆ เขาตะโกนออกมาพร้อมวัตถุเทพที่ปรากฏขึ้นตามร่างกาย มันแผ่พลังอันน่ากลัวออกมา ในเวลาเดียวกันก็มีพู่กันสีม่วงและทองปรากฎขึ้นมาในมือของเขา พลังอันน่ากลัวระเบิดออกมาจากมันราวกับภูเขาไฟระเบิด เขาพยายามที่จะรับการโจมตีจากจักรพรรดิซีเอาไว้อย่างสุดกำลัง

ผู้พิทักษ์จักรพรรดินั้นแข็งแกร่ง ตอนที่เขาถูกโจมตี เขาก็ได้ระเบิดพลังอันร้ายกาจออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะชั้นค่ายป้องกันจากเผ่าเทพที่ร่วงหล่นซึ่งคอยปกป้องโดยรอบ บางทีสันเขาลูกนี้อาจจะพังลงไปเพราะการโจมตีก็เป็นได้

ยังไงซะเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับจักรพรรดิซี ตอนที่จักรพรรดิซีโจมตี เขาควบคุมพลังงานของตัวเองเอาไว้และเล็งเป้าหมายไปที่ศัตรูโดยไม่คิดจะทำลายสิ่งรอบข้าง

แต่เมื่อผู้พิทักษ์จักรพรรดิลงมือ เขาไม่คิดจะควบคุมพลังตัวเองด้วยซ้ำ เขาใช้ทุกอย่างที่มีออกมา

ความแตกต่างเรื่องความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นต่างกันเกินไป จักรพรรดิซีปัดพู่กันของผู้พิทักษ์จักรพรรดิออกไปได้ด้วยการโจมตีของเขาและมือเขาก็ฟาดเข้าใส่เกราะผู้พิทักษ์จักรพรรดิอย่างแรง

เกราะนี้เป็นวัตถุเทพแต่แสงมันก็หม่นลงทันทีและผู้พิทักษ์จักรพรรดิก็ได้กระอักเลือดออกมา หน้าของเขาซีดเผือดไป

“บอกข้าที นอกจากคนที่โดนข้าฆ่าไปแล้ว ใครอีกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในอดีต ? ” จักรพรรดิซีมองไปที่ผู้พิทักษ์จักรพรรดิด้วยสายตาเย็นชา ความอาฆาตได้กลืนกินผู้พิทักษ์จักรพรรดิเอาไว้ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคงไม่มีทางรอด

ในอดีตนั้น จักรพรรดิซีตกอยู่ในสภาพน่าอดสู เขาหนีไปทั่วที่ราบเมฆาและไม่รู้เลยว่ามีกี่คนที่ไล่ตามเขา แม้ว่าเขาจะเจอตัวพวกนั้นไปบ้างและฆ่าพวกนั้นทิ้ง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ซ่อนตัวเองได้อย่างดี

“ซีไซหยุน มันทำให้เจ้าชั่วร้ายและไร้ปราณีเช่นนี้เลยรึ ? ” ผู้พิทักษ์จักรพรรดิถามขึ้นมา เขาไม่คิดจะยอมรับสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะปะติดปะต่อซีไซหยุนตรงหน้าเขากับองค์ชายคนเดิมที่ไม่ต้องการชื่อเสียงได้เลย

“ในเมื่อเจ้าไม่พูด ข้าคงต้องแสดงให้เจ้าเห็นความโหดร้าย ข้ามีทางที่ทำให้เจ้าพูดเมื่อข้ากลับไปที่วัง” สายตาของ จักรพรรดิซีส่องประกายชั่วร้ายออกมา เขามัดผู้พิทักษ์จักรพรรดิเอาไว้และอุ้มอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะหายตัวไปจากภาคนั้น

“นี่คือขั้นบรรพกาลหรือ ? พวกเขาน่ากลัวกันจริง ๆ ” เจี้ยนเฉินยังไม่ได้สติหลังจากที่จักรพรรดิซีกลับออกไป เขามองไปยังจุดที่จักรพรรดิซีเคยยืนอยู่ด้วยความสับสน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ใกล้กับพวกขั้นบรรพกาล เขาจึงตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ในอดีต

ไม่ใช่แค่เขาพบว่าเขาไม่อาจจะหายใจได้ตอนที่จักรพรรดิซีโจมตีออกมา แต่ใจเขาก็ยังหยุดเต้นไปด้วย ร่างกายของเขาแข็งทื่อไม่อาจจะกระดิกได้เลยแม้แต่น้อย

มันราวกับมีแรงที่มองไม่เห็นยับยั้งร่างกายเขาเอาไว้

ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิซีนั้นน่ากลัวเกินไป แม้ว่าไม่ได้เล็งมาที่เจี้ยนเฉิน แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าตัวเองนั้นกระจอกเพียงใด

“ข้าไม่คิดว่าจักรพรรดิซีจะกำจัดผู้พิทักษ์จักรพรรดิในครั้งนี้ เฮ้อ ผู้พิทักษ์จักรพรรดิเป็นคนสำคัญต่อจักรวรรดิซี ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิซีเสียสติตอนที่โดนไล่ล่า จนทำให้เขาคลั่งถึงกับมาไล่ฆ่าผู้พิทักษ์จักรพรรดิด้วยเลยหรือ” เทียนซวงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มันเป็นปัญหาของจักรวรรดิซี มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรา ไปกันเถอะ” นางฟ้าเฮายู่พูดขึ้น ด้วยการโบกมือแสงจันทร์ก็ได้รายล้อมตัวเจี้ยนเฉินอีกครั้งก่อนที่นางจะพาเขาบินออกไป

ไม่นานเจี้ยนเฉินก็ได้กลับมาที่จักรวรรดิเสิ่นเตา เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อนางฟ้าเฮายู่ ทำให้เขามีฐานะพิเศษในจักรวรรดิ จักรพรรดิถึงกับต้องหาห้องให้เขาได้พัก

เจี้ยนเฉินเข้าไปพักที่ห้องตนเองแต่ก็ทำใจเย็นไม่ได้ เขากังวล เขาขังตัวเองไว้ในห้องตลอดวันและคิดถึงวิธีการออกจากภาคเหนือนี่ เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของสหายคนอื่น ๆ

หลายวันเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ก้าวออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว

แต่ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะคิดหาทางเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจจะหาทางที่ใช้ได้เลยสักทาง บทสรุปสุดท้ายคือนอกซะจากว่าจักรพรรดิซีลบผนึกบนภาคเหนือทิ้ง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจจะออกจากภาคเหนือนี้ได้

เจี้ยนเฉินบอกว่าเขาจะไปหาจักรพรรดิซี แต่ทันทีที่เขาพูดเรื่องนี้ เทียนซวงก็ปฏิเสธเขาทันที โอกาสที่จะได้รับคำตกลงนั้นน้อยนิดยิ่งกว่าการที่เผ่าเทพที่ร่วงหล่นจะยอมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเขาซะอีก

ตอนที่เจี้ยนเฉินตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางฟ้าเฮายู่ก็ได้มาหาเขา นางถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าที่กังวลของเขา “มันเป็นเพราะข้า ข้าไม่น่านำเจ้ามายังภาคเหนือเลย “

“นางฟ้าเฮายู่ เจ้าคิดเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ใครจะไปรู้ว่าข้าจะยังมีชีวิตอยู่รึไม่ ข้าได้แต่หวังว่า จักรพรรดิซีจะลบผนึกออกไปให้เร็วที่สุด” เจี้ยนเฉินพูดขึ้น

“จักรพรรดิซีจะคงผนึกไปสักพัก ข้าได้รับข่าวมาว่าจักรพรรดิซีได้เดินทางออกไปหานิกายหนึ่งของจักรวรรดิซี นิกายแยกสวรรค์ เขาบอกให้พวกนั้นส่งตัวผู้อาวุโสสูงสองคนของพวกนั้นมา “

“ นิกายแยกสวรรค์คือหนึ่งในสี่นิกายชั้นสูงของจักรวรรดิซี ผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็อยู่ขั้นอสงไขย ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็มีบรรพชนที่แข็งแกร่ง “

“ทั้งนิกายมีผู้อาวุโสสูงสุด 3 คน นิกายแยกสวรรค์นั้นจะปฏิเสธในการส่งตัวผู้อาวุโสให้ ดังนั้นพวกจึงปิดนิกายเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาตกที่นั่งลำบาก แม้แต่บรรพชนของนิกายก็ต้องออกมาเพื่อขอความเมตตา แต่จักรพรรดิซีนั้นปฏิเสธที่จะต่อรอง มันอาจจะไม่จบลงโดยง่าย” นางฟ้าเฮายู่พูดขึ้น

เจี้ยนเฉินบ่นออกมานิด ๆ นิกายแยกสวรรค์คือนิกายระดับสูง ดังนั้นพวกนั้นก็ต้องแข็งแกร่งกว่าจักรวรรดิเสิ่นเตา แม้แต่จักรวรรดิเสิ่นเตาก็ยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ทั่วทุกที่ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่นิกายแยกสวรรค์จะไม่มี

แต่ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป จักรพรรดิซีคงจะคงผนึกภาคเหนือเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองคนหนีไป

แล้วเขาจะได้กลับไปตอนไหน ?

เจี้ยนเฉินเริ่มปวดหัวและสลดขึ้นมา