งานเลี้ยงสิ้นสุด ตอนที่แขกทุกคนออกจากงาน ขงเต๋อหลงก็เข็นจักรยาน28นิ้วคันใหม่เอี่ยมของเขาออกมาแล้ว

ขงเต๋อหลงก็คิดถึงคลิปวิดีโอเพลงที่ดังเปรี้ยงอยู่ช่วงหนึ่งบนเว็บไซต์ขึ้นมา

ร้องว่าอะไรนะ ขับบนมอเตอร์ไซค์คันน้อยสุดที่รักของฉัน…

เขาคิดถึงเพลงนั้น จากนั้นก็มองไปที่จักรยาน28นิ้วที่ทั้งเก่าทั้งน่าเกลียดคันนี้ ก็อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ว่า “หากสามารถขับมอเตอร์ไซค์ไปได้ก็คงจะดี วันหนึ่งขับได้สามสี่ร้อยกิโลเมตร สามวันก็คงถึงจินหลิงแล้ว อีกทั้งการเดินทางก็ไม่ต้องลำบากเกินไป…”

แต่น่าเสียดาย เย่เฉินไม่มีทางให้โอกาสเขาได้ต่อรองแน่ เขาจึงได้แต่เข็นจักรยาน28นิ้วออกมาอย่างเชื่อฟัง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง

น้าชายใหญ่ต่งเจียงไห่ถือหมวกจักรยานสีเขียวใบหนึ่งไว้ คิดจะสวมให้เขา เขาจึงทางหนึ่งหลบ ทางหนึ่งถามอย่างอึดอัดว่า “น้าชายใหญ่ ทำไมคุณถึงซื้อหมวกสีเขียวมาให้ผมล่ะ…”

“อย่าให้พูดเลย” ต่งเจียงไห่กล่าวอย่างจนปัญญา “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ไปที่ไหนก็มีแต่คนแย่งหมวก หมวกที่ร้านจักรยานจึงมีคนแย่งซื้อไปหมดแล้ว จึงเหลือสีเขียวอยู่สองสามใบที่ยังไม่ได้ขาย ฉันก็เลยให้คนซื้อมาให้แกใบหนึ่ง ยังคงเป็นความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด!”

ขงเต๋อหลงแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

มิน่าหมวกใบนี้ถึงไม่มีใครแย่ง มันสีเขียวมันเลื่อม! ขนาดผักกุยช่ายสดยังไม่เขียวเท่าสีหมวกใบนี้เลย!

แม้ในใจเขาจะรังเกียจมากแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน ไม่อย่างนั้นหากล้มศีรษะกระแทกขึ้นมา นั่นไม่จบเห่หรอกหรือ?

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่กัดฟัน ให้น้าชายใหญ่สวมหมวกบนศีรษะของตัวเอง

ต่งเจียงไห่จัดสายรัดคางของหมวกให้เขาจนเรียบร้อย จากนั้นก็ชี้ไปที่แท่นวางโทรศัพท์ที่อยู่บนแฮนด์จักรยาน ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เสี่ยวหลงเอ๋ย นี่เป็นแท่นวางโทรศัพท์ที่น้าชายใหญ่ตั้งใจให้คนซื้อมาให้นายเป็นพิเศษ นายเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไปตรงที่หนีบก็จะสามารถนำทางได้ พันกว่ากิโลเมตรเชียวนะ ต้องดูแผนที่ให้ดี อย่าได้ไปผิดทางเด็ดขาด”

ขงเต๋อหลงพยักหน้า ถามเขาว่า “น้าชายใหญ่ ทำไมคุณไม่ซื้อแบตสำรองให้ผมบ้าง ตอนที่ผมปั่นจักรยานหากมือถือแบตหมดจะทำยังไง…”

“ปัดโธ่!” ต่งเจียงไห่ตบหน้าผาก “ลืมของสำคัญไปเสียได้ ถ้าอย่างนั้นแกรอเดี๋ยว ฉันจะให้คนไปซื้อให้แกเดี๋ยวนี้!”

เวลานี้ต่งเจียงเหอพ่อของต่งรั่งหลินรีบร้อนพูดว่า “ในรถฉันมีอันหนึ่ง เมื่อก่อนซื้อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ฉันจะไปหยิบมาให้แก!”

เวลานี้ บิดาของขงเต๋อหลงข่งลิ่งเช่อก็ตบไปที่บ่าของเขา กล่าวอย่างจริงจังว่า “การเดินทางไปจินหลิงครั้งนี้ค่อนข้างดี ตามข้างทางล้วนเป็นเมืองที่พัฒนาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีป่าเปลี่ยวข้างทางแต่อย่างใด ดังนั้นแกก็อย่าได้กังวลเกินไปนัก ระหว่างทางก็ระมัดระวังให้ดี ตกเย็นก็หาที่กางเต็นท์ในสวนสาธารณะสักแห่งในเมือง สิบกว่าวันก็น่าจะถึงจินหลิงได้”

ขงเต๋อหลงพยักหน้า

ข่งลิ่งเช่อถอนหายใจออกมายาวเหยียด จากนั้นก็กล่าวว่า “แกน่ะ จะต้องปั่นไปตามทางอย่างซื่อตรง ระหว่างนั้นห้ามแอบออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาด สิ่งนี้สำหรับแกแล้ว ก็คือประสบการณ์ครั้งหนึ่ง รู้ไหม?”

ขงเต๋อหลงกล่าวเสียงกระซิกว่า “ผมรู้แล้วครับ พ่อ…”

ต่งซิ่วหัวก็กำลังเช็ดน้ำตาอยู่อีกด้านเช่นกัน พร้อมกับกำชับว่า “ตอนเดินทางจะต้องระวังความปลอดภัยให้ดี เห็นรถใหญ่ก็หลบหน่อย รู้ไหม?”

ขงเต๋อหลงส่งเสียงสะอื้นไห้ติดๆ กัน “แม่ที่แสนดี ผมรู้แล้ว…”

นายท่านใหญ่ต่งก็กำชับเช่นกันว่า “อย่างไรก็คำนวณเวลาให้ดี อย่าแอบอู้ หากไปช้า คุณเย่จะโกรธเอาได้”

ขงเต๋อหลงภายในใจห่อเหี่ยวเป็นอย่างยิ่ง นี่ยังใช่คุณตาแท้ๆ อยู่ไหม? ถึงกับห่วงว่าเดี๋ยวเย่เฉินจะโกรธ…

นายหญิงใหญ่กลับอ่อนโยนมาก ควักยันต์คุ้มภัยสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า แล้วมอบให้ขงเต๋อหลง ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวหลง นี่เป็นยันต์คุ้มภัยที่ขอมาจากพระตำหนักยงเหอสมัยยายยังสาว พระอาจารย์เคยปลุกเสกไว้ ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ยากพกติดตัวไว้ตลอด ตอนนี้ยายขอมอบมันให้กับหลาน มันจะช่วยคุ้มครองให้หลานปลอดภัย!”

ขงเต๋อหลงพยักหน้าอย่างตื้นตัน “ขอบคุณครับคุณยาย…”

เวลานี้เย่เฉินที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้นว่า “นายดูสิ ตอนนี้นายมีความก้าวหน้าขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็รู้จักพูดขอบคุณคนในครอบครัว!”

ขงเต๋อหลงพลันอับอายขึ้นมาทันที พลางกล่าวเสียงค่อยว่า “ขอบคุณคุณเย่มากที่สั่งสอน ต่อไปผมจะทำตัวอ่อนน้อม เป็นคนที่ดีขึ้น!”