ได้รับการตอบกลับที่แน่นอนของเย่เฉิน กู้ชิวอี๋ดีใจจนกระโดดโลดเต้น ทั้งวิ่งทั้งกระโดดกลับไปถึงห้อง รีบเปลี่ยนเป็นชุดกันหนาวขนสัตว์ทรงยาวหนาๆในทันที

เพื่อไม่ให้คนดูตนเองออก เธอยังตั้งใจสวมผ้าปิดปากกันหนาวโดยเฉพาะ รวมไปถึงหมวกที่ขนปุกปุย มีหูกระดาษที่น่ารักสองข้าง

นอกจากนี้ ในมือของเธอยังถือแว่นตากรอบดำทรงกลม หลังจากสวมเข้าไปแล้ว ทั้งคนก็คือสาวน้อยสไตล์แอ๊บแบ๊วน่ารัก เทียบกับกู้ชิวอี๋ที่ทำให้ผู้ชายทุกคนหลงใหลอย่างบ้าคลั่งคนนั้นแล้ว จากสไตล์ก็มีความผิดเพี้ยนที่เยอะมาก

ที่จริงแล้ว ในส่วนลึกของกู้ชิวอี๋ ก็คือเด็กผู้หญิงน่ารักที่ฉลาดแสนซนคนหนึ่ง

เธอจิตใจบริสุทธิ์ และไม่ได้มีประสบการณ์ความรักอะไร ไม่ได้มีความรู้ในการคบหากับเพศตรงข้ามอะไร ยิ่งไม่ได้มีความคิดสกปรกที่ไม่อาจแพร่งพรายได้อย่างเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้น

เย่เฉินมองเห็นเงาในวัยเด็กจากบนใบหน้าของเธอ ตอนนี้คิดย้อนกลับไป กู้ชิวอี๋ก็คือภาระอันหวานชื่นในวัยเด็กของตนเอง

เหตุผลที่บอกว่าคือภาระอันหวานชื่น นั่นก็เพราะ ตนเองแม้ว่าจะไม่อยากให้เธอตามติดทุกวัน เรียกตนเองว่าพี่เย่เฉินอย่างกับหนอนตามก้น แต่ส่วนลึกภายในจิตใจก็ยังเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่เธอวนไปเวียนมาอยู่ที่รอบกายของตนเองเป็นอย่างมาก

กู้ชิวอี๋เห็นเย่เฉินมองดูตนเองอย่างค่อนข้างที่จะเหม่อลอย ใบหน้าที่งดงามก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างเขินอายว่า “พี่เย่เฉิน ทำไมมองฉันแบบนี้คะ…”

เย่เฉินได้สติกลับคืนมา เก้อเขินแต่ยังยิ้มเพื่อไม่ให้เสียมารยาทพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ก็แค่อยู่ๆคิดถึงเรื่องวัยเด็กขึ้นมา ก็เลยละความสนใจไปหน่อย”

กู้ชิวอี๋ในใจหวานชื่นทั้งยังดีใจ หลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ!”

เพื่อปิดบังตัวตนของกู้ชิวอี๋อย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เย่เฉินกับเธอก็ยังคงขับรถวอลโว่รุ่นเก่าที่ไม่สะดุดตาคันนั้น ขับจากเขตคฤหาสน์ไปทางใจกลางเมือง

ทะเลสาบโห้วไห่อยู่ที่โซนใจกลางของเมืองเย่นจิง สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ๆเจริญรุ่งเรืองที่สุดของทั้งเมืองเย่นจิงเลยก็ว่าได้

อีกทั้งที่นี่กลับไม่ได้ถูกพัฒนามากจนเกินไป เรือนสี่ประสานเก่าแก่ยังคงรักษาได้อย่างเหมาะสมเป็นอย่างมาก อยากเห็นชีวิตคนท้องถิ่นของเมืองเย่นจิง ก็ต้องมายังสถานที่แบบนี้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า กู้ชิวอี๋ขับรถเข้ามาในซอยๆหนึ่งบริเวณใกล้ๆทะเลสาบโห้วไห่ จากซอยที่ดูค่อนข้างแคบนี้ ยากมากที่จะดูออกว่าทุกบ้านที่พักอาศัยอยู่ด้านในคือบ้านคนธรรมดา หรือว่าบ้านคนมีเงินกันแน่

ที่เย่นจิง คนที่พักอาศัยในเรือนสี่ประสาน มีสองแบบ

แบบแรกคือคนที่จนมาก อาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวที่เก่าแก่ ภายในบ้านอาจจะแม้แต่ห้องน้ำก็ยังไม่มี ต้องไปแก้ปัญหาที่ห้องน้ำสาธารณะทุกวัน ต่อให้เป็นกลางดึกของฤดูหนาวเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติช่วงที่หนาวสุดของปี ก็ต้องลุกขึ้นมาไปห้องน้ำสาธารณะแบบนั้น

แล้วก็อีกแบบ ก็คือคนที่ร่ำรวยมาก

อยากจะอาศัยในเรือนสี่ประสานให้ดี อันดับแรกคือต้องมีเงินที่มากพอ ปรับปรุงเรือนสี่ประสานให้น่าอยู่เต็มร้อย

เพราะว่าเรือนสี่ประสานส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างชั้นเดียว ดังนั้น ดูจากภายนอก ใครก็ดูไม่ออกว่าด้านในเป็นสภาพแบบไหนกันแน่ มีเพียงอย่างเดียวคือเข้ามา ถึงจะพบว่าแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

เรือนสี่ประสานบางที่ ด้านในแออัดเป็นอย่างยิ่ง ถ่านอัดแท่ง รถจักรยาน ไหดองผักกองเต็มทางเดิน เดินก็ยังลำบากมาก ด้านในยังมีกระท่อมที่สร้างขึ้นมามั่วๆ มีอันตรายที่ซ่อนอยู่มากมาย

แต่ก็มีเรือนสี่ประสานบางที่ ดูจากภายนอกแล้ว ไม่โดดเด่นไม่หวือหวา ไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากเข้าไปถึงได้พบว่าด้านในมีโลกอีกใบอยู่

เรือนสี่ประสานของบ้านกู้ชิวอี๋ ก็เป็นเช่นนี้

เรือนสี่ประสานของคนอื่นสภาพแวดล้อมแออัดคับแคบ ยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง แต่เรือนสี่ประสานของตระกูลกู้ ยิ่งใหญ่ทรงพลัง มีกลิ่นอายของความงามแบบคลาสสิก!

ด้านในไม่เพียงแต่มีกำแพงบังตาที่แกะสลักด้วยหินหยกขาวทั้งชิ้น ด้านบนแกะสลักรูปมังกรผงาดที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังในเก้าอิริยาบถที่แตกต่างกัน