ตอนที่ 1863 การค้าขายของชิงอิง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ข่งอิน ระดับกึ่งจักรพรรดิที่เคี่ยวกรำ ‘เงากระบี่มหาสหัส’ มาแปดพันปี กลับถูกหลินสวินใช้ดาบหักฟันเฉือน ใช้พลังหมัดสยบฆ่า ร่างระเบิดเป็นจุณ สิ้นใจอย่างอเนจอนาถ

และยามนี้ ชวีเหราก็ก้าวซ้ำรอยเดิมของข่งอินเช่นกัน!

โลกบงกชสามสิบหกชั้นแข็งแกร่งปานใด

แต่นางกลับตายทั้งที่อยู่ในกระบวนท่าที่มั่นใจที่สุดของตน พลังชีวิตทั่วร่างถูกช่วงชิง กลายเป็นเถ้าถ่านคลุ้งฟ้า!

และคนที่ฆ่านาง ก็เป็นหลินสวินที่มีระดับมกุฎราชันอริยะอีกเช่นกัน

ชั่วอึดใจนี้ฟ้าดินเงียบสงัด

จินเทียนเสวียนเยวี่ยและพวกข่งอวี้ที่กำลังต่อสู้ดุเดือดต่างสะท้านสะเทือน หยุดการเคลื่อนไหวในมือ

เพียงแต่ในความสั่นสะเทือน จินเทียนเสวียนเยวี่ยแฝงแววยินดีอย่างปิดไม่มิด ทว่าพวกข่งอวี้แต่ละคนท่าทางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ราวกับเสียบุพการี

กึ่งจักรพรรดิสองคนลงมือพร้อมกัน แทบจะสามารถกวาดล้างมกุฎราชันอริยะทั้งหมดบนโลกได้!

แต่ยามนี้ข่งอินและชวีเหรากลับถูกหลินสวินคนเดียวสังหารติดต่อกัน หนำซ้ำยังเป็นการปะทะซึ่งหน้า สิ่งนี้ใครจะไม่หวาดผวา

คนใหญ่คนโตเช่นพวกผู้อาวุโสเพลิงที่ชมการต่อสู้ในเงามืดยังอึ้งตาค้างไปแล้ว ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในใจเกิดความสะพรึงกลัวยิ่งยวด!

เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ยามอยู่หอสมบัติทุ่งบูรพา เหยื่อที่พวกเขาหมายตาถึงกับเป็นพวกร้ายกาจพลิกฟ้าเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกนึกกลัวขึ้นมา

“เหตุใดไม่สู้แล้ว”

กลางห้วงอากาศ แม้เสื้อผ้าหลินสวินจะขาดวิ่น แต่แผ่นหลังเหยียดตรงดุจกระบี่ แม้มุมปากจะเปื้อนคราบเลือด สีหน้าก็ค่อนข้างซีดเซียว แต่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับมีอานุภาพสะท้านสะเทือนผู้คน

ชิ้ง!

จินเทียนเสวียนเยวี่ยคลี่ยิ้ม เสียงกระบี่ครวญดังคราหนึ่ง ลงมือต่อไป

“ไป!”

เพียงแต่พวกข่งอวี้ใจฝ่ออย่างสิ้นเชิง รู้สึกหวาดผวา มีหรือจะยังกล้าสู้ต่อ เลือกเผ่นหนีโดยไม่ลังเล

โดยเฉพาะพวกคนใหญ่คนโตของตระกูลสิงยิ่งตกใจจนวิญญาณไม่อยู่กับร่างนานแล้ว ตัวสั่นงันงก แม้แต่ข่งอวี้ยังไม่สนใจ เผ่นหนีว่องไวไม่มีใครยอมใคร

“หากปล่อยให้พวกเจ้าหนี ต่อไปก็ยังจะเป็นปัญหาอยู่ดี …”

ในเสียงถอนหายใจเบาๆ เงาร่างหลินสวินพริบไหว อันตรธานหายไปฉับพลัน

ครู่ต่อมาเขาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าข่งอวี้แล้ว

“อย่าฆ่าข้า ข้ายินดีจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดให้!”

ข่งอวี้แหกปากร้อง

พรูด!

เสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ตัวเขาก็ถูกดาบหักฟันเป็นสองท่อน ก่อนสิ้นใจสีหน้ายังเต็มไปด้วยแววหวาดผวาและสะพรึงกลัว คล้ายยากจะเชื่อ

นับตั้งแต่ฝึกปราณมา เขาใช้ฐานะทายาทเลือดบริสุทธิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งกราบเข้าเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพยำเกรง

ไหนเลยจะเคยคาดคิด ว่าบนโลกนี้ถึงกับมีคนไม่ไยดีฐานะเหล่านี้ของเขา พูดว่าจะฆ่าก็ฆ่า ไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว!

หลินสวินรวดเร็วยิ่งยวด และคร้านจะสนใจคนตายอย่างข่งอวี้ เรื่องเร่งด่วนก็ต้องเร่งทำเวลา ฆ่าศัตรูทั้งหมด

พรูดๆๆ…

ในเวลาต่อมา ผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าถูกสังหารดับอนาถระหว่างหนีตาย มีผู้แข็งแกร่งข้างกายข่งอวี้ และมีคนใหญ่คนโตของตระกูลสิง

ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างถูกหลินสวินเข่นฆ่า!

จากพลังต่อสู้ของเขายามนี้ สามารถฆ่ากึ่งจักรพรรดิภายใต้การปะทะซึ่งหน้าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเดียวกันพวกนี้

เป็นการฆ่าคนที่เหมือนฉีกภาพวาด ดับสิ้นเหมือนฆ่าไก่ชัดๆ!

เดิมทีจินเทียนเสวียนเยวี่ยอยากจะลงมือช่วยอีกแรง แต่ตลอดทางถึงกับยื่นมือเข้าแทรกไม่ได้สักนิด…

ส่วนพวกที่อยู่ในเงามืดอย่างผู้อาวุโสเพลิงต่างเหงื่อกาฬท่วมหัว หนีตายหัวซุกหัวซุนตั้งนานแล้ว หวั่นเพียงว่าจะถูกลากลงไปในรายชื่อไล่ล่าสังหารของหลินสวิน

ในความเป็นจริง ยามนี้หลินสวินก็ไม่มีแรงไปใส่ใจปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเขาเหมือนกัน

ครู่ต่อมา

หน้าเมืองหลินอันที่สูงตระหง่านพลุกพล่าน สิงหลิวสุ่ยผู้นำตระกูลสิงเคลื่อนย้ายเต็มกำลัง ไม่ทันไรก็จวนจะเข้าไปในเมืองแล้ว

สวบ!

ดาบหักปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา หากไม่ใช่เพราะเขาหยุดเท้าได้ทันก็อาจจะปะทะกันแล้ว ผลที่ตามมาไม่อาจคาดคิด

“สหายยุทธ์ ครั้งนี้พวกเราตระกูลสิงเพียงแค่ดำเนินการตามคำสั่ง ไม่ได้เจตนาจะเป็นศัตรูกับสหายยุทธ์สักนิด หวังว่าสหายยุทธ์จะใจกว้าง ไว้ชีวิตข้าสักหน”

สิงหลิวสุ่ยสีหน้าซีดขาว หมุนตัวมาอย่างยากลำบาก เอ่ยปากเสียงสั่นเครือเปี่ยมแวววิงวอน

“ครั้งนี้หากข้าดวงตก เจ้าจะใจกว้างหรือ”

หลินสวินถาม

สิงหลิวสุ่ยร่างแข็งทื่อ คำตอบนี้เห็นอยู่ชัดๆ เขาคิดจะปฏิเสธก็ยังดูปลอมเกินไป

พรูด!

ครู่ต่อมาหลินสวินลงมือแล้ว ดาบหักพริบไหว ฟันสิงหลิวสุ่ยตรงหน้าเมืองหลินอัน

หลังจากนั้นหลินสวินก็หมุนตัวจากไป

“สวรรค์!”

“ผู้นำตระกูลสิงถึงกับถูกฆ่าแล้ว!”

เมืองหลินอันเป็นเมืองท่า นอกประตูเมืองมีผู้คนสัญจรไปมา ภาพนองเลือดนี้ย่อมถูกผู้ฝึกปราณมากมายมองเห็น

ชั่วขณะเสียงร้องอุทานฮือฮาไม่หยุด อึกทึกครึกโครมไม่ว่างเว้น

ไม่ทันไรข่าวก็แพร่เข้าเมืองหลินอัน ก่อให้เกิดระลอกคลื่นโหมกระหน่ำครั้งใหญ่

“พวกสิงหลิวสุ่ยเคลื่อนไหวร่วมกับผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ยามนี้เขาถูกฆ่าอยู่นอกประตูเมือง นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์พวกนั้นก็ตายด้วยหรือ”

คนมากมายหวาดผวา สูดหายใจเฮือก

แรกเริ่มเดิมทีก็มีคนเห็นว่าข่งอวี้นำพวกสิงหลิวสุ่ยออกนอกเมืองด้วยอานุภาพดุเดือด

แต่ยามนี้ถึงกับเกิดเรื่องนองเลือดเช่นนี้ ยากจะเลี่ยงไม่ให้ผู้คนคิดไปต่างๆ นานาได้ยาก

“คนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดจึงน่ากลัวปานนี้”

และก็มีคนมากมายใจสะท้าน สิงหลิวสุ่ยเป็นถึงมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ในอาณาเขตแคว้นเขียวก็เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่เรียกลมแลกฝนคนหนึ่ง

แต่กลับถูกฆ่าอยู่หน้าบ้านเกิดของตนเสียได้!

และตอนที่พวกคนใหญ่คนโตอย่างผู้อาวุโสเพลิงที่ไล่ตามออกไปในเงามืดพวกนั้นหวนกลับมา ก็ได้นำข่าวที่ดุเดือดอุกอาจยิ่งกว่ากลับมาด้วย

“อวี่เสวียน สังหารกึ่งจักรพรรดิสองคน ฆ่าพวกข่งอวี้ ล้างบางคนใหญ่คนโตตระกูลสิงทั้งกลุ่ม!”

“อวี่เสวียน ชายหนุ่มระดับมกุฎราชันอริยะคนหนึ่ง กลับมีอานุภาพร้ายกาจ ข้ามระดับฆ่าศัตรู!”

“อวี่เสวียนเคยปรากฏตัวที่หอสมบัติทุ่งบูรพา…”

“อวี่เสวียน…”

ข่าวแต่ละอย่างพัดใส่เมืองหลินอันราวกับพายุมรสุม และก่อให้เกิดความอึกทึกทั่วเมือง ระลอกคลื่นซัดโหมสะท้านฟ้า

หอสมบัติทุ่งบูรพา

เจตวัตถุจากแดนแห่งปริศนาที่ถูกคนหมู่มากตั้งตาคอยชิ้นนั้น ปรากฏขึ้นเป็นชิ้นสุดท้ายในฐานะสมบัติชิ้นเอก

เพียงแต่ขณะที่ผูหลันจือเรียบเรียงคำพูด ตั้งใจจะแนะนำสมบัติชิ้นเอกนี้อย่างดิบดี ในลานประมูลกลับเกิดความปั่นป่วนขึ้นระลอกหนึ่ง

“อะไรนะ ขนาดผู้นำตระกูลสิงยังตายแล้วหรือ”

“เรื่องนี้ถึงกับยังมีผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์รวมอยู่ด้วยหรือ”

“อวี่เสวียนนั่นก็ช่างเหี้ยมโหดเหลือเกิน…”

ในลานประมูลเกิดความฮือฮาโกลาหล เสียงตกใจสะท้านสะเทือนนับไม่ถ้วนดังขึ้น ทำให้การตั้งตาคอยที่ผู้คนมีต่อสมบัติชิ้นเอกก็ลดทอนลงไปด้วย

ผูหลันจืออึ้งงันไป คราวนี้จึงเข้าใจขึ้นมา ชายหญิงที่เดิมถูกนางมองว่าอาจประสบเคราะห์ ถึงกับก่อเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

สิ่งนี้ทำให้นางอดยิ้มขื่นไม่ได้

สมบัติชิ้นเอก เดิมเป็นของที่ทุกคนจับจ้อง แต่ยามนี้… กลับถูกก่อกวนหมดสิ้นแล้ว

นอกเมือง ในหมู่เขากว้างใหญ่

หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยรวมตัวกัน กล่าวเหมือนคนไร้เรื่องราวว่า “ต่อไปพวกเราจะมุ่งหน้าไปแคว้นเมฆา”

เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่งเรียกยานขนส่งอวกาศออกมา แล้วบรรทุกจินเทียนเสวียนเยวี่ยแหวกห้วงอากาศไปด้วยกัน

“คุณชาย นี่คือทรัพย์หลังศึกที่รวบรวมได้ก่อนหน้านี้”

บนยาน จินเทียนเสวียนเยวี่ยยื่นแหวนเก็บของอันหนึ่งให้หลินสวิน สีหน้าเจือความยำเกรงที่มาจากใจอย่างหนึ่ง

ตอนที่พ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือหลินสวินในยานลมกรด นางยังไม่สามารถประเมินรากฐานพลังแท้จริงของหลินสวินได้

แต่ยามนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจชัดเจนอย่างหนึ่ง

อวี่เสวียน ในระดับมกุฎราชันอริยะ ได้ยืนอยู่ในจุดที่สามารถทำให้นางเลื่อมใสได้แล้ว!

หลินสวินรับรู้ได้อย่างว่องไวถึงความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของจินเทียนเสวียนเยวี่ย แต่เขาก็ไม่ได้พูดมากความ เริ่มตรวจสอบแหวนเก็บของนั่น

ครั้งนี้ฆ่าพวกข่งอวี้ทั้งกลุ่ม ทรัพย์หลังศึกที่ได้รับอู้ฟู่ถึงที่สุด วัตถุดิบเทพ โอสถวิญญาณ หินแร่ สมบัติอริยะต่างๆ รวมเข้าด้วยกัน จากการคำนวณมูลค่าของตลาดมืดใต้ดิน ก็มีราคาเกินกว่าสิบล้านผลึกมรรค!

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าหากไม่อุกอาจก็ไม่อาจร่ำรวย ม้าไม่ให้หญ้ากลางดึกก็ไม่อาจอ้วนพี!

“รอหลังจากขายทรัพย์หลังศึกพวกนี้แล้วจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ

จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งไป นัยน์ตาสุกใสดุจสายน้ำเจือแววประหลาดกล่าวว่า “คุณชาย ข้าเป็นเพียงผู้ติดตามข้างกายท่านเท่านั้น ไหนเลยจะแบ่งทรัพย์หลังศึกได้”

หลินสวินหัวเราะร่วน “ผู้ติดตามอะไรกัน เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ทรัพย์หลังศึกย่อมต้องแบ่งอย่างเท่าเทียม นี่ก็คือกฎของข้า… อืม คนแซ่อวี่”

ตอนที่เอ่ยถึงครึ่งหนึ่งเกือบหลุดพูดว่า ‘ข้าคนแซ่หลิน’ ออกมา

ในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยสะท้านแปลกๆ ถึงกับรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก นี่… หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกร่วม?

“หืม?”

จู่ๆ หลินสวินก็หยัดกายขึ้น เดินออกไปนอกห้องโดยสาร

ครู่ต่อมายานขนส่งอวกาศก็หยุดอยู่กลางห้วงอากาศ เพราะบริเวณไกลๆ ปรากฏหญิงที่ถือร่มสีเลือด สวมชุดกระโปรงเขียวคนหนึ่ง

นางยืนอยู่กลางเวิ้งฟ้า ทะเลเมฆลอยเอื่อย อาภรณ์พลิ้วไหว ร่มสีแดงบาดตาปานเลือดนั่นขับให้นางดูประหลาดอย่างถึงที่สุด

“คุณชาย มาโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าจะไม่ถือโทษ”

ชิงอิงเอ่ยปาก น้ำเสียงนุ่มละมุนเบาหวิว

“แม่นางชิงอิงมีธุระหรือ”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลง เขาเพิ่งสู้ศึกใหญ่กับกึ่งจักรพรรดิสองคน พลังกายไม่เพียงสูญสิ้นไปมาก ยังบาดเจ็บอีกด้วย

และชิงอิงที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเร้นลับผู้นี้จู่ๆ ก็โผล่มา ทำให้หลินสวินก็ไม่อาจไม่ระวังตัว

ถึงขนาดยามเผชิญหน้ากับแม่นางผู้นี้ หลินสวินยังจริงจังยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับสองกึ่งจักรพรรดิอย่างข่งอินและชวีเหราเสียอีก!

“ข้าน้อยอาศัยโอกาสนี้ อยากจะเจรจาค้าขายกับคุณชายสักหน่อย”

ชิงอิงมองท่าทีระวังภัยของหลินสวินออก จึงเอ่ยพูดจุดประสงค์การมาตรงๆ

“ข้าขอฟังรายละเอียดเพิ่มเติม”

หลินสวินค่อนข้างสนใจ

“ไม่ทราบคุณชายเคยได้ยินชื่อหลินสวินหรือไม่”

ชิงอิงกล่าว

พริบตานี้หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าสายตาของชิงอิงจับจ้องมาที่ตน คล้ายอยากจับสังเกตปฏิกิริยาของตน

เขากล่าวราบเรียบว่า “นี่ไม่ใช่นักโทษประกาศจับอันดับหนึ่งของฟ้าดาราหรอกหรือ ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว”

ชิงอิงร้องอืมคราหนึ่ง นางเงียบไปครู่ใหญ่ค่อยกล่าวว่า “หากภายหน้าคุณชายมีโอกาสพบคนผู้นี้ ช่วยบอกเขาทีว่าชิงอิงแห่งเรือนเร้นหมอกอยากจะพบหน้า ตอนนั้นข้าจะบอกเรื่องที่เป็นประโยชน์ไร้โทษแก่เขา”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่งแล้วถามกลับ “หลินสวินนี่หายตัวไปตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดแม่นางชิงอิงกลับคิดว่าข้าคนแซ่อวี่จะได้พบกับเขา”

ชิงอิงกล่าว “สัญชาตญาณ”

มุมปากหลินสวินกระตุกคราหนึ่งอย่างไม่เป็นที่สังเกต ยิ้มขื่นส่ายหน้า “ช่างเถิด ข้ารับปากเจ้าแล้วกัน”

“ขอบคุณคุณชายที่สงเคราะห์”

ชิงอิงกล่าวพลางพลิกมือเอาคันฉ่องทองแดงบางเฉียบที่โปร่งใสวาววับชิ้นหนึ่งออกมา “ในคันฉ่องทองแดงนี้บรรจุแผนที่ม้วนหนึ่งไว้ อาศัยของสิ่งนี้ก็จะหาข้าพบ หากคุณชายทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าเองก็จะให้การตอบแทนชนิดไม่อาจปฏิเสธแก่คุณชาย”

“ไม่อาจปฏิเสธ?”

หลินสวินยิ้มอย่างนึกสนุก

ชิงอิงกล่าว “เชื่อหรือไม่ รอชมจะเป็นไรไป”

หลินสวินพยักหน้าอย่างชื่นมื่น “ดี ข้าก็จะเชื่อสัญชาตญาณสักครั้ง”

วู้ม!

ชิงอิงรวบนิ้ววาด คันฉ่องทองแดงบางเฉียบชิ้นนั้นพุ่งปราดออกไปมอบให้หลินสวินผ่านห้วงอากาศ

“คุณชาย ข้าเฝ้ารอจะได้พบท่านครั้งหน้าอย่างยิ่ง”

ชิงอิงกล่าวพลางหมุนตัวจากไป ชุดกระโปรงเขียวพลิ้วไหวกลางทะเลเมฆ ร่มโลหิตเหนือศีรษะราวกับฉัตร ปิดครอบแสงนภา และกลบซ่อนดวงหน้าของนางไว้ด้วยเช่นกัน

เร้นลับดุจหมอกเร้น!