ในขณะนั้นเอง ประตูก็ถูกผลักเปิดออก
เซียวฉางเฉียนเดินนำเข้ามาก่อนพร้อมกับนายหญิงใหญ่
ส่วนเซียวไห่หลงและเซียวเวยเวยเดินตามหลังมา
นายหญิงใหญ่สวมเสื้อคลุมขนมิงค์อันสูงส่ง ใบหน้าของเธอแดงเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล และบนใบหน้าของเธอก็ดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่ที่บริษัทเซียวซื่อฟื้นตัวใหม่ นายหญิงใหญ่เซียวก็ดูมีความสุขทุกวัน ใบหน้าของเธอแดงเปล่งปลั่งและมันวาว ราวกับว่าทานยาอายุวัฒนะยังไงอย่างงั้นเลย
ทันทีที่เธอเข้าไปในบ้าน นายหญิงใหญ่เซียวก็เอ่ยปากพูดว่า “ไอ้หยา แม้ว่าตระกูลอู๋จะใช้การไม่ค่อยได้แล้ว แต่ไม่ว่าจะร้ายดียังไงคนที่ความสามารถเมื่อต้องตกอยู่ในจุดที่ตกต่ำ ก็ยังไม่มีใครสามารถเทียบได้ซึ่งด้วยโปรเจ็กต์ที่พวกเขาให้ ในปีหน้าพวกเราก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างน้อย 20 ล้านหยวนเลยนะ เยี่ยมมากเลยจริงๆ!”
เซียวฉางควนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะแหะแหะพร้อมกับพูดว่า “แม่ครับ นี่เพราะแม่เป็นคนมองการณ์ไกลไม่ใช่หรอกครับ! ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ช่วยวางกลยุทธ์อยู่เบื้องหลัง บริษัทเซียวซื่อของพวกเราคงไม่สามารถฟื้นตัวใหม่ได้หรอกครับ!”
นายหญิงใหญ่เซียวพยักหน้าอย่างพอใจ เธอมักจะหลงตัวเองมาโดยตลอดทั้งยังมีความปรารถนาในอำนาจอย่างแรงกล้า และชอบที่จะถูกประจบเลียแข้งเลียขาเป็นที่สุด
เมื่อเฉียนหงเย่นที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ยิน ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะแอบสาปแช่งในใจ และเมื่อเฉียนหงเย่นที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ยิน ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะแอบสาปแช่งในใจว่า อีแก่นี่ช่างไร้ยางอายเสียจริง! ที่ตระกูลเซียวฟื้นตัวใหม่อีกครั้งมันเป็นคุณงานความดีของเธอตรงไหนกัน? มันไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากประธานอู๋ของเราหรือไง? นอกจากนี้ ในตอนนั้นประธานอู๋ส่งคนไปที่เหมืองถ่านหินดำเพื่อช่วยชีวิตฉันก่อนต่างหาก! หลังจากนั้นถึงได้พาครอบครัวของพวกแกออกจากสถานที่คุมผู้ต้องสงสัย!”
นายหญิงใหญ่เซียวเข้าไปในห้องรับแขกอย่างดีอกดีใจ และเห็นเฉียนหงเย่นที่นั่งเล่นมือถืออยู่บนโซฟา ก็ตะโกนอย่างโมโหขึ้นทันใดว่า “เฉียนหงเย่นนี่เธอกำลังทำอะไรอยู่บนโซฟาน่ะ ทำไมไม่ทำอาหารอยู่ในครัว? นี่เป็นที่นั่งของเธอหรือไง?”
เฉียนหงเย่นลุกขึ้น และพูดอย่างโมโหว่า “แม่คะ แม่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง? หนูก็เป็นสมาชิกของครอบครัวนี้เหมือนกันนะ แม้แต่โซฟาหนูก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งเหรอคะ?”
นายหญิงใหญ่เซียวพูดอย่างเคร่งขรึมและเฉียบขาดว่า “เธอพูดถูก! เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งบนโซฟา! ในบ้านหลังนี้ เธอเป็นแค่คนรับใช้! และยังเป็นคนรับใช้ที่ทำให้ฉันไม่พอใจอีกด้วย! ถ้าไม่มีประธานอู๋คอยปกป้องเธออยู่เบื้องหลัง ฉันคงจะไล่เธอนังผู้หญิงแรดที่เสือมเสียศีลธรรมออกไปนานแล้ว!”
“นี่แก…” เฉียนหงเย่นพูดอย่างโกรธเคืองว่า “อีแก่แกยังไม่หยุดใช่ไหม? เอาความผิดเล็กๆ น้อย ๆ ออกมาพร่ำบ่นตลอดแต่เช้าจรดเย็นเลย มันสนุกมากเหรอ? อย่าลืมสิ่งที่ประธานอู๋พูดล่ะว่า ให้พวกเราละทิ้งอคติทั้งหมด ถ้าแกยังทำท่าทีแบบนี้ ฉันจะไปหาประธานอู๋ให้ออกหน้าช่วยฉัน!”
แค่ครู่เดียวนายหญิงใหญ่เซียวก็ไร้คำพูดไร้คำตอบไปเลย
ที่เธอด่าประจานรังแกและกดขี่เฉียนหงเย่น เพราะคิดว่าเฉียนหงเย่นคงไม่กล้าบุ่มบ่าม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่ถูกบีบบังคับขู่เข็ญจนถึงขีดสุด เขาก็โกรธเป็นและพร้อมจะโจมตีกลับมาเหมือนกัน
คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียนหงเย่นจะกล้าพูดกับตัวเองแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังไม่กล้าที่จะทะเลาะกับเฉียนหงเย่นในทันทีได้ เพราะยังไงสะอู๋ตงไห่ก็เคยกำชับไว้ว่า ถ้าตัวเธอทำให้อู๋ตงไห่โมโห ก็อาจส่งผลกระทบต่อแผนการใหญ่ของตระกูลเซียวในทันทีได้!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เธอจึงส่งเสียงเย็นชาออกมา แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ได้ ในเมื่อประธานอู๋ขอให้พวกเราละทิ้งอคติ งั้นฉันก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนการศึกษาต่ำอย่างเธอ แต่ฉันก็ยังอยากแนะนำให้เธอเข้าใจถึงสถาพของตัวเอง ในบ้านหลังนี้ เธอก็เป็นแค่คนมีโทษ และเธอจะต้องมีความสำนึกตัวในการชดใช้ความผิดอยู่ตลอดเวลา!”
แม้ว่าเฉียนหงเย่นจะไม่สบอารมณ์ แต่เธอก็ไม่ถกเถียงกับนายหญิงใหญ่ต่อ และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “กับข้าวทำเสร็จหมดแล้ว ทานข้าวเถอะ!”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบนหน้าของเธอไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ในใจก็เกลียดนายหญิงใหญ่จนเข้ากระดูกดำ
เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ท่าทีนี้ของนายหญิงใหญ่เซียวต่อไปมันก็คงจะแย่ลงไปเรื่อยๆ และไม่มีทางดีขึ้นได้
ถ้าบริษัทเซียวซื่อยังคงก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆท่าทีของนายหญิงใหญ่เซียวจะหนักขึ้นอย่างแน่นอน
เธอถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “อีแก่คนนี้ ถ้าหกล้มอย่างหนักสักทีหนึ่งก็คงดี!”