ตระกูลซู แยกตัวออกมาจากฮุยโจว แต่กลับเป็นตระกูลใหญ่ในเย่นจิงมานานเป็นเวลาร้อยปี

ในช่วงราชวงศ์ชิง เมื่อกบฏไท่ผิงเทียนกั๋วแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ตระกูลซูได้ติดตามพ่อค้าหมวกแดงหูเสว่ย้าน เสี่ยงชีวิตเพื่อขนส่งอาวุธและธัญพืชให้กับกองทัพของราชวงศ์ชิง และได้รับการชื่นชมจากรัฐบาลชิง

หลังจากนั้น ตระกูลซูที่มั่งคั่งแล้วก็ได้พาธุรกิจของตระกูลที่เข้มแข็ง ย้ายจากบ้านเกิดในฮุยโจวมาที่เย่นจิง ตั้งแต่นั้นมา ตระกูลก็อยู่ในสายธุรกิจการค้ามาหลายชั่วอายุคน ความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นไปอยู่แถวหน้าของประเทศมาโดยตลอด

เมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน ตระกูลซูแข่งขันกับตระกูลเย่ แต่เดิมภายใต้การลอบโจมตีจากบิดาของเย่เฉิน เย่ฉางอิง พวกเขาเริ่มอ่อนแรงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเย่ฉางอิงเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย ตระกูลซูก็รีบเหยียบตระกูลเย่ลงทันทีและก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ

คุณท่านใหญ่ตระกูลซู มีชื่อว่าซูเฉิงเฟิง ชื่อนี้มาจากบทความที่มีชื่อเสียงของซูซื่อเรื่อง ถีซีหลินปี้

ดังคำกล่าวที่ว่า

กวาดตามองเห็นเทือกเขาหลูซาน ด้านข้างเห็นขุนเขาสูงต่ำใกล้ไกลล้วนแตกต่าง

ไม่รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของหลูซาน เพียงเพราะตัวเองก็อยู่ในขุนเขา (หลูซาน) นี้

ซูเฉิงเฟิง ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาตามนี้

ปีนี้ซูเฉิงเฟิงอายุ 76 ปี แม้ว่าเขาจะยังไม่นับว่าแก่มากนัก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์อีกต่อไป

ตามหลักแล้ว ทั้งชีวิตของเขา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงไม่พอใจ

เขาหวังว่าก่อนที่ตนจะเกษียณ ตนจะสามารถวางรากฐานที่ไม่มีใครเทียบได้ให้กับตระกูลซู อย่างน้อยที่สุด เขาต้องการที่จะทำให้ “1 มากกว่า 2 + 3” อันเป็นความปรารถนาอันยาวนานของตนเป็นจริง

นับตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครในวงการธุรกิจสามารถมีอำนาจครอบงำได้อย่างแท้จริง

ความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า “1 มากกว่า 2 + 3” ก็คือ ความแข็งแกร่งของตระกูลอันดับที่หนึ่งนั้นรวมแล้วจะต้องมากกว่าผลรวมความแข็งแกร่งของตระกูลอันดับสองและตระกูลอันดับสาม

หากให้ลงรายละเอียด ก็เทียบเท่าได้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลซูจะต้องมีมากกว่าตระกูลเย่และตระกูลกู้รวมกัน

ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าตระกูลอันดับสองและสามจะร่วมมือกันเพื่อต่อต้านตนเอง ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร

มีแค่วิธีนี้ ตระกูลซูจึงสามารถหลับสบายไร้กังวลได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้ ช่องว่างระหว่างตระกูลซูและตระกูลเย่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าต้องการทำให้ “1 มากกว่า 2 + 3” เป็นจริงได้ พวกเขายังมีช่องว่างด้านสินทรัพย์อยู่อย่างน้อยๆก็หลายแสนล้าน

ดังนั้น ตอนนี้ซูเฉิงเฟิงจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแสวงหาช่องทางธุรกิจในต่างประเทศ หวังว่าจะสามารถทำให้ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เป็นจริงได้ในคราวเดียว

หากเป้าหมายนี้สำเร็จได้ เย่นจิงก็จะไม่ได้มีแนวคิดสามตระกูลใหญ่อีกต่อไป แต่จะถูกแทนที่ด้วย ตระกูลซูเป็นตัวหมากใหม่ในการเดินเกมต่อไป

ดังนั้น ซูเฉิงเฟิงจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับธุรกิจการเดินเรือนี้

เมื่อได้ยินว่าคุณท่านใหญ่ให้ความสำคัญกับการขนส่งทางทะเลมาก ลูกหลานคนหนึ่งของตระกูลซูก็อดไม่ได้ที่จะแสดงออกต่อหน้าคุณท่านใหญ่ “คุณปู่ หลานรู้สึกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจโลกได้รับการฉุดรั้งเอาไว้ไม่น้อย การค้านำเข้าและส่งออกของทุกประเทศหดตัวลงอย่างมาก ไม่รู้ว่าการค้าต่างประเทศจะฟื้นตัวเต็มที่ได้อีกครั้งเมื่อไร ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การเสี่ยงดวงกับการขนส่งทางทะเล อันที่จริงยังมีความเสี่ยงอย่างมาก และมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะกลายเป็นการซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ ดังนั้นหลานจึงอยากขอแนะนำให้ท่านคิดให้รอบคอบก่อนลงมือทำ!”

“คิดให้รอบคอบ?” ซูเฉิงเฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาและไม่สนใจเขา แต่กลับมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างตัวเขาและเอ่ยดุว่า “เจ้าห้า นี่แกสั่งสอนลูกชายของแกแบบนี้หรือ? ขนยังไม่ทันขึ้นเต็มที่ แต่กลับกล้ามาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของฉันที่นี่ คิดว่าฉันแก่แล้ว ไม่แน่ใจว่าความคิดความอ่านยังมองขาดหรือไม่งั้นหรือ?”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้า ก็คือลูกชายคนที่ห้าของคุณท่านใหญ่ซู ซูโสว่ซิ่น

ตระกูลซูรุ่นนี้ มีลูกชายห้าคนและลูกสาวสองคน

บุตรทั้งเจ็ดคน ตรงกลางของชื่อล้วนมีคำว่า โสว่ อยู่ ในขณะที่เจ็ดคำสุดท้ายนั้นเรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่เต้า เต๋อ เหริน อี้ หลี่ จื้อ ซิ่น อันแปลว่าคุณธรรม ศีลธรรม ความรักต่อมนุษย์ ความเที่ยงธรรม พิธีกรรม ความรู้และความเชื่อใจ

และคำทั้งเจ็ดนี้เป็นคุณธรรมเจ็ดระดับที่เล่าจื๊อได้กล่าวไว้ใน “คัมภีร์ลัทธิเต๋า”

ซูโสว่ซิ่นเป็นลูกชายคนที่ห้าของคุณท่านใหญ่ซู และเป็นลูกคนสุดท้องในเจ็ดคน

ชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยพูดขึ้นเมื่อครู่ก็คือลูกชายคนเล็กของซูโสว่ซิ่น ซูจือหยวน

ซูจือหยวนปีนี้มีอายุเพียง 18 ปี แต่ถือเป็นอัจฉริยะด้านวิชาการ ปีที่แล้วเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยความสามารถของตัวเอง