เป็นเพราะอายุยังน้อย อีกทั้งยังเป็นที่โปรดปรานในบ้าน ดังนั้นซูจือหยวนจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการแสดง

อย่างไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรเขาล้วนเคยแค่แสดงออกต่อหน้าพ่อแม่ของตนเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดของตนต่อหน้าปู่ของเขา ในที่สุดวันนี้โอกาสก็มาถึง เขาคิดอยากจะอาศัยความคิดของคุณท่านใหญ่มาถกเถียงกับเขา เพื่อจะได้แสดงความสามารถและสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาของตน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า แค่เพียงประโยคเดียว กลับทำให้คุณท่านใหญ่ซูโกรธขึ้นมา

ขณะที่เขาคิดจะเอ่ยปากอธิบาย แต่กลับไม่คาดคิดว่า พ่อของเขา ซูโสว่ซิ่นจะลุกยืนขึ้นและโค้งคำนับซ้ายขวา จากนั้นจึงตบปากของเขาอย่างแรงหลายครั้งจนมุมปากเต็มไปด้วยเลือด และตะคอกขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “แกร่ำเรียนจนลงท้องสุนัขไปหมดแล้วหรือไง? ถึงได้กล้าตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของคุณปู่ของแกที่นี่?!”

“ผม…” ซูจือหยวนปิดหน้า รู้สึกน้อยใจจนแทบอยากจะตายไปตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

เขาโตมาขนาดนี้ไม่เคยโดนทุบตีมาก่อน เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมหลังจากประโยคนั้นทำให้ปู่โกรธ พ่อที่แต่ไหนแต่ไรรักใคร่ตามใจเขามาโดยตลอดกลับตบตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตายที่นี่

อีกทั้ง ยังเป็นต่อหน้าทุกคนในตระกูล

ซูโสว่ซิ่นในตอนนี้กลับเกลียดลูกชายของเขาที่ไม่เอาไหนจนแทบบ้า!

เขารู้ดีถึงอำนาจของคุณท่านใหญ่ แม้แต่พี่ชายคนโตของเขาซูโสว่เต้า ก็ยังไม่กล้าโต้แย้งคุณท่านใหญ่แม้แต่ครึ่งคำ แล้วนับประสาอะไรกับลูกชายตัวน้อยที่ไร้ประโยชน์ของเขา?

อยากโดดเด่นก็ต้องไม่ใช่โดดเด่นแบบนี้!

เป็นไปได้มากที่คำพูดของเขาจะทำให้ถูกคุณท่านใหญ่เพิกเฉยใส่ในอนาคต หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัย เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปทำงานที่ตระกูลซูด้วยซ้ำ!

เหตุผลที่คุณท่านใหญ่ซู ซูเฉิงเฟิงมีอำนาจครอบงำได้ขนาดนี้ เหตุผลเกี่ยวข้องอย่างมากกับประสบการณ์การเติบโตของเขา

เมื่อเขายังเด็ก เขามีพี่น้องหลายคน

สมัยนั้นยังเป็นยุคสมัยของราชวงศ์ชิง พ่อของเขาไม่เพียงมีแค่มีภรรยาหลวงเท่านั้น แต่ยังมีอนุภรรยากว่าหกคน และภรรยาอีกเจ็ดคนด้วย เขาให้กำเนิดบุตรมากกว่า 30 คน และในนั้นเป็นลูกชายมากถึง 23 คน!

และซูเฉิงเฟิง ก็เป็นเพียงหนึ่งในลูกชาย 23 คนนั้น

เฉกเช่นเดียวกับบุตรชายของจักรพรรดิในสมัยโบราณ ซูเฉิงเฟิงเองก็ต่อสู้ทั้งอย่างเปิดเผยและลับๆ กับพี่น้องทั้ง 22 คนมาตั้งแต่วัยเด็ก เขาต่อสู้มา 50 ปี ในที่สุดถึงได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลซู

ดังนั้น หลังจาก 50 ปีแห่งการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้นิสัยของเขากลายเป็นคนวางอำนาจและโหดร้ายอย่างยิ่ง

หากมีใครมาคุกคามความน่าเกรงขามของเขา ต่อให้เป็นลูกแท้ๆ หลานแท้ๆ เขาก็ไม่มีวันยอมทนเป็นอันขาด

ซูจือหยวนยังเด็กและโง่เขลา อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะ เขากล้าที่จะขัดแย้งกับคุณท่านใหญ่ซูเพื่อให้ตนเองมีตัวตนขึ้นมา การกระทำนี้ในสายตาของทุกคนไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!

ซูโสว่ซิ่นตบซูจือหยวนไปหลายสิบครั้ง จนเขาแทบจะไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงและเป็นลมได้ คุณท่านใหญ่ซูถึงค่อยแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาและพูดว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องตบแล้ว ให้คนพาเขาออกไป พวกเราประชุมกันต่อ!”

ซูโสว่ซินตบจนใจเขาเองก็หลั่งเลือดไปนานแล้ว แต่ว่าคุณท่านใหญ่ไม่เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าหยุดมือ

เมื่อเห็นว่าในที่สุดคุณท่านใหญ่ก็เอ่ยขึ้น เขาจึงเก็บมือ พยายามกดความเจ็บปวดในใจ และด่าคนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “ยังไม่รับไปพาไอ้ลูกไม่รักดีนี่ออกไปให้ฉันอีก!”

คนรับใช้หลายคนเดินออกมาทันทีและลากซูจือหยวนที่อาเจียนเป็นเลือด มึนหัวและหูอื้อออกไป

คุณท่านใหญ่ซูกระแอมและเอ่ยต่อ “ความร่วมมือกับญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องได้ท่าเรือโตเกียว แต่จะต้องได้ครอบครองสิทธิ์ในการดำเนินงานของท่าเรือโยโกฮามาและท่าเรือโอซาก้าไม่น้อยกว่า20% และจะต้องให้พวกเขาจัดหาเครื่องบินขนส่งสินค้าและเรือบรรทุกน้ำมันต่างๆ อย่างน้อย ที่มีความจุไม่น้อยกว่า 3 ล้านตัน ใครสามารถจัดหาทรัพยากรได้มากที่สุดก็จะมีโอกาสได้เป็นหนึ่งในพวกเรา ดังนั้น การไปญี่ปุ่นครั้งนี้ จะต้องศึกษาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลอิโตะและตระกูลเคอิจิให้ดี นอกจากนี้ พวกเราจะต้องบังคับให้พวกเขานำทรัพยากรออกมาให้มากที่สุด!”

ลูกชายคนโตซูโสว่เต้าโพล่งออกมา “คุณพ่อ ไม่ทราบว่าครั้งนี้คุณคิดจะให้ใครไปร่วมมือกับสองตระกูลญี่ปุ่นนี้ครับ?”

นายท่านใหญ่ซูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “จือเฟย นายเป็นหลานชายคนโต ได้เวลาออกหน้าคนเดียวแล้ว เรื่องครั้งนี้ ให้นายเป็นผู้นำในการจัดการ!”

ซูจือเฟยเป็นหลานชายคนโตของคุณท่านใหญ่ซู และลูกชายคนโตของซูโสว่เต้า ปีนี้อายุ28ปี เป็นหลานชายที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลซู

ทันทีที่ได้ยินว่าตนได้รับเลือก ซูจือเฟยก็ลุกขึ้นยืนทันทีและพูดอย่างหนักแน่นว่า “คุณปู่โปรดวางใจ จือเฟยจะทุ่มเทอย่างสุดแรง!”

คุณท่านใหญ่ซูพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นสายตาของเขาก็ตกไปที่หญิงสาวหน้าตางดงามและเยือกเย็นที่กำลังยืนอยู่ข้างๆซูจือเฟย

ในเวลานี้เองที่ดวงตาของคุณท่านใหญ่ไม่แข็งกระด้างอีกต่อไป แต่กลับแทนที่ด้วยความเอ็นดูขึ้นมาหลายส่วน เขาเอ่ยยิ้มๆ “จือหยู เธอใกล้จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเยลแล้ว และก็สมควรแก่เวลาออกไปฝึกฝนแล้ว ครั้งนี้เธอตามพี่ชายเธอไปด้วยเถอะ เรียนรู้เปิดหูเปิดตาให้มากๆ สะสมประสบการณ์!”

หญิงสาวที่ทั้งงดงามและเยือกเย็นคนนั้นลุกยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูไม่ร้อนไม่หนาว นัยน์ตาเรียบเฉย น้ำเสียงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ดังไม่เบา “คุณปู่ จือหยูทราบแล้ว”