ตอนที่ 1944 ฆ่ากันเองหรือ
ฉัวะ!

ปราณกระบี่ทะลุเมฆา ไพศาลพร่างพราว มีสุริยันจันทราดาราปรากฏอยู่ภายในรางๆ คล้ายพุ่งตรงสวนธารดาราบนฟ้าขึ้นไป

หลินสวินที่อยู่บนฟ้าสูงนัยน์ตาดำหดรัด ปราณกระบี่แข็งแกร่งนัก!

กล่าวอย่างไม่เกินเลย ขนาดในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา หลินสวินยังไม่เคยเห็นผู้แข็งแกร่งคนไหนสามารถสำแดงกระบี่ที่น่าตะลึงเช่นนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่ลงมือเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง!

ก็เห็นหลินสวินดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ปราณกระบี่ไท่เสวียนที่จ้าตากำราบลงมา เข้าปะทะกับปราณกระบี่ของอีกฝ่าย

ตูม!

ห้วงอากาศแถบนี้ปั่นป่วน ปราณกระบี่เหมือนสะเก็ดกระเซ็นกระสายดุจสายฝน

“เอ๊ะ”

ในเสียงเจือความตกตะลึงเล็กน้อย เงาร่างสูงใหญ่เป็นที่สุดร่างหนึ่งปรากฏออกมา ผมยาวประบ่า แววตาดั่งกระบี่ กลิ่นอายทั้งตัวเหมือนเซียนกระบี่จากสวรรค์มาเยือนโลก ดุดันเป็นอย่างยิ่ง

มองจากไกลๆ พาให้คนรู้สึกแสบตา

“จินตู๋อีแห่งแคว้นเมฆาหรือ”

ดวงตาของชายคนนั้นจับจ้องหลินสวินที่อยู่กลางอากาศ คมปลาบน่าครั่นคร้าม

เยวี่ยหรูหั่ว!

หลินสวินก็จำตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที นิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

อีกฝ่ายเป็นพวกปีศาจที่เร้นกายจากโลกไม่ปรากฏตัว แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก่อนงานถกมรรคครั้งนี้จะเริ่มขึ้น ถึงกับไม่เห็นคนอย่างหมีอู๋หยา หลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนงอยู่ในสายตา

คนผู้นี้เหมือนกับจือไป๋ ล้วนดูเหมือนชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่ความจริงแล้วเป็นพวกน่ากลัวลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง

เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจออีกฝ่ายในตอนนี้

“น่าสนใจ รับกระบี่ที่ข้าซุ่มอยู่นานแล้วไว้ได้ เจ้านี่ก็ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ไม่เลว”

เยวี่ยหรูหั่วยกยิ้มเย็นชา

“ถ้าเจ้ารับกระบี่ของข้าไว้ได้อีกครั้ง ข้าจะหลีกทางให้เจ้าจากไปทันที”

พูดถึงตรงนี้เยวี่ยหรูหั่วก็ยิ้มน้อยๆ ดวงตาพลันมีประกายฉายวาบ ยื่นมือออกไปคว้าในห้วงอากาศ

ฮูม!

ปราณกระบี่สีเขียวยาวสามฉื่อสายหนึ่งควบรวมออกมา เจิดจ้าดุจสุริยัน จรัสตระการตา ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนพังทลายแยกออกไปด้วย คล้ายรับอานุภาพของกระบี่นี้ไม่ไหว

“ที่ข้าฝึกก็คือกระบี่สามฉื่อ ถือกระบี่คม บนมหามรรคไร้อุปสรรค”

เยวี่ยหรูหั่วสะบัดแขนเสื้อใหญ่ “ไป!”

ปราณกระบี่สีเขียวโฉบพุ่งขึ้นห้สวงอากาศเหมือนรุ้งยาวสายหนึ่ง หมายจะทะลวงสุริยันจันทรา

พริบตานี้หลินสวินยังอดเผยสีหน้าตื่นตะลึงไม่ได้ พลังมรรคกระบี่ร้ายกาจนัก อิ่มเอิบไพศาล ควบรวมเป็นหนึ่งเดียว ดูคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมีพลังของเขตแดนมรรคอันมหัศจรรย์ถึงที่สุด

หลินสวินไม่ได้ดูเบา ชี้นิ้วมือซ้ายออกมาอย่างรวดเร็ว

สวบ!

แสงเย็นเยียบปรากฏที่ปลายนิ้วของเขา เจิดจรัสถึงที่สุด ทั้งยังเปล่งประกายดุดันเป็นอย่างยิ่ง ชั่วพริบตาฟ้าดินต่างหม่นหมอง คล้ายเหลือเพียงแสงสายนี้!

หนามเเสงคม!

อภินิหารพรสวรรค์ของกายมรรคทองขาว อานุภาพหนึ่งหนามสะท้านเทพผี แม้เป็นระดับกึ่งจักรพรรดิยังหลบได้ยาก

ปังๆๆ!

เสียงระเบิดระลอกหนึ่งดังขึ้น ปราณกระบี่สีเขียวของเยวี่ยหรูหั่วระเบิดออกทุกกระเบียด ประหนึ่งกระจกสีเขียวอันงดงามเปี่ยมสีสันระเบิดกระจุย ละอองแสงปลิวว่อน

ชั่วพริบตากระบี่สามฉื่อก็แหลกเป็นผุยผง!

“พอหรือยัง”

หลินสวินไม่ได้ลงมือต่อ เก็บพลังอภินิหารที่ปลายนิ้วกลับไป เอ่ยเสียเรียบ

เยวี่ยหรูหั่วอึ้งไป คล้ายประหลาดใจนัก คิดไม่ถึงว่าอันดับหนึ่งของศึกถกมรรแคว้นเมฆากลับรับพลังที่แท้จริงของตนไว้ได้

เขาคล้ายใคร่ครวญ “ดูท่าในหมู่ผู้แข็งแกร่งแคว้นต่างๆ จะไม่ได้เป็นพวกที่รับมือได้ง่ายเสมอไป จินตู๋อี เจ้าจากไปได้”

หลินสวินมองเขาครั้งหนึ่งแล้วมุ่งตรงจากไป

เขาไม่ได้คิดจะฆ่าอีกฝ่ายจริงๆ เพราะแม้แต่เขายังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในเวลาสั้นๆ

“แต่ข้าขอเตือนเจ้า ยามเจอกันครั้งหน้าข้าจะไม่ใช้กระบี่เดียวอีกแล้ว ถ้าเจ้ายังรับได้ ในแดนลับโลกาสวรรค์นี้ข้าจะไม่ลงมือกับเจ้าอีก”

เยวี่ยหรูหั่วพูดเสียงกังวาน

“เช่นนั้นก็รอคราวหน้าค่อยว่ากัน”

หลินสวินไม่แม้แต่จะหันมา

พอเห็นเงาร่างหลินสวินหายลับไปไกล เยวี่ยหรูหั่วจึงไม่มองต่ออีก ในใจครุ่นคิดว่าพลังต่อสู้ของคนผู้นี้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่บนสิบอันดับแรกของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ได้… แค่ไม่รู้ว่าในแดนลับโลกาสวรรค์นี้ พวกร้ายกาจที่ซุ่มซ่อนไม่เปิดเผยตัวเช่นนี้จะมีเท่าไร…

ขณะที่ครุ่นคิดเงาร่างของเขาก็พริบวาบหายไปจากจุดเดิม

……

“เยวี่ยหรูหั่วคนนี้เป็นทายาท ‘เผ่านักรบจันทร์สวรรค์’ ในสิบเผ่านักรบใหญ่ เมื่อหกร้อยปีก่อนก็มีความสามารถทะยานมาอยู่ในสามอันดับแรกของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์แล้ว”

ที่โลกภายนอก ไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์เอ่ยปาก “เดิมทีเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าคิดจะจัดอันดับให้เขา แต่กลับถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งเตือนว่าเจ้าหนุ่มนี่ยอมชิงที่หนึ่ง ไม่เป็นที่สอง ถ้าเขาไม่มีคุณสมบัติขึ้นอันดับหนึ่ง ก็จะไม่จัดชื่อเขาเข้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์”

กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์เป็นสิ่งที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์จัดทำ เมื่อไท่ซูหงเอ่ยปาก ก็พลันทำให้ระดับจักรพรรดิที่อยู่ในนั้นต่างเผยสีหน้าประหลาด

เยวี่ยหรูหั่ว!

เจ้าหมอนี่สุดยอดจริงๆ นะ…

“จินตู๋อีรับมรรคกระบี่ของเจ้าหนุ่มนี่ไว้ได้ ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน”

ซย่าสิงเลี่ยเอ่ยเสียงเรียบ

ทุกคนชะงักไป ต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่กลับไม่มีใครคัดค้าน เพราะภาพเมื่อครู่ที่หลินสวินรับกระบี่นั้นของเยวี่ยหรูหั่วเอาไว้ พวกเขาก็เห็นเหมือนกัน

“นี่ยังเพิ่งเริ่ม พวกร้ายกาจที่แท้จริงพบเจอกันก็ยังไม่ได้สู้สุดตัว รอดูเถิด ยิ่งนานไปการคัดเลือกครั้งนี้ก็ยิ่งมีสีสัน”

มีมหาจักรพรรดิพูดเสียงเบา

“ถูกต้อง เมื่อคลื่นใหญ่ชะล้างทรายทองก็จะปรากฏ รอถึงท้ายที่สุดจึงจะดูออกว่าในระดับมกุฎราชันอริยะทั่วหล้านี้ พวกที่โดดเด่นที่สุดจะเป็นใคร”

“ข้ารอดูความสามารถของหมีอู๋หยานัก”

“จือไป๋ก็ไม่เลว”

“ฮ่าๆ ข้าสนใจพวกประหลาดๆ บางคนเสียมากกว่า อย่างจินตู๋อี อย่างเจ้าคนที่มาจากตระกูลเสวียนคนนั้น หรืออย่างปีศาจน้อยที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา…”

“ใช่ ต้องใช้การคัดเลือกที่น่าประหลาดใจไม่คาดฝันถึงจะน่าสนใจ”

……

ขณะที่โลกภายนอกกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ในแดนลับโลกาสวรรค์กลับเปี่ยมด้วยบรรยากาศดุเดือด บีบคั้นและเคร่งเครียด

ในแต่ละพื้นที่ การห้ำหั่นดุเดือดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแทบจะตลอดเวลา ส่วนมากเป็นการล้อมโจมตี นานๆ ทีก็จะมีการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งเพราะเลี่ยงได้ยาก

ไม่ว่าใครต่างก็สำแดงวิชาก้นกรุ ทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู้

เสียงร้องลั่นอย่างไม่ยินยอม เสียงคำรามกราดเกรี้ยว รวมถึงเสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังตอนถูกคัดออก… เกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ในแดนลับโลกาสวรรค์

คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ได้เป็นยอดบุคคลชั้นหนึ่งทั่วหล้าทั้งสิ้น เป็นเหล่าผู้โดดเด่นในระดับมกุฎราชันอริยะ

แต่ละคนต่างมีพรสวรรค์และไม้ตายของตัวเอง เมื่อต่อสู้ดิ้นรน การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก็ดูโหดร้ายหาใดเทียบ

กระทั่งบุคคลแห่งยุคบางส่วนที่เดิมได้รับการจับตามองยังแพ้ในการล้อมโจมตี ถูกคัดออกอย่างน่าสลด

ทั้งยังมีพวกที่ดูเหมือนไม่สะดุดตา ชื่อเสียงไม่โด่งดังบางส่วน กลับปะทุพลังน่าตื่นตะลึง พลิกโผได้รับชัยชนะ…

แต่ผู้ที่พลิกโผมีเพียงน้อยนิดอยู่ดี

นามคนดั่งเงาต้นไม้ ตัวคนเป็นเช่นไรก็มีชื่อเสียงเป็นเช่นนั้น

ผู้โด่งดังย่อมเก่งกาจสมคำร่ำลือ ปีศาจแห่งยุคสิบอันดับแรกที่ติดอันดับกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์อย่างหวงฝู่เซ่าหนง หลิงหงจวง จู่เฟยอวี่ เยียนอวี่โหรว ถูเชียนเจวี๋ย ล้วนแสดงความสามารถสะดุดตาเป็นที่สุด

ต่อให้ตัวคนเดียวถูกล้อมโจมตี ยังหลุดรอดมาได้อย่างปลอดภัย!

ท่ามกลางการห้ำหั่นกรำศึกของผู้มีความสามารถโดดเด่นนี้ ความสามารถที่หลินสวินเผยออกมาไม่ถึงกับน่าตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีใครถามถึง

เขาเดินหน้าอย่างระมัดระวังมาตลอด กำลังหาร้องรอยของจินเทียนเสวียนเยวี่ย

ตลอดทางได้เห็นการเข่นฆ่านองเลือดไม่รู้เท่าไร แต่เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว

ไม่ใช่ไม่อยากไปชิงยันต์ชีวิต แต่เพราะรู้ดีว่ายันต์ชีวิตไว้ชิงทีหลังก็ได้ แต่ถ้าจินเทียนเสวียนเยวี่ยถูกคัดออก นั่นต้องเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้เรื่องหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นยามการถกมรรคคราวนี้เพิ่งเริ่มขึ้น คนที่เข้าร่วมต่อสู้มีมากมาย พบเห็นได้ตลอด แต่ยิ่งนานไป หลังจากผ่านการคัดออกหลายครั้งคนก็ยิ่งน้อย คนที่อยู่ถึงท้ายๆ ศักยภาพก็ต้องยิ่งน่ากลัว

แต่เช่นเดียวกัน เกรงว่าในมือของคนที่รอดถึงท้ายที่สุดแต่ละคนต่างกำยันต์ชีวิตจำนวนมากอยู่!

สำหรับหลินสวินแล้วก็เป็นโอกาสเช่นกัน ถึงตอนนั้นคู่ต่อสู้คนหนึ่งถูกคัดออกไป ก็จะชิงยันต์ชีวิตมาได้มาก!

ตูม!

สองวันต่อมา หลินสวินที่กำลังเดินทางสังเกตว่ามีเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดินลอยมาระลอกหนึ่ง

มีการห้ำหั่นกัน!

หนำซ้ำยังไม่ใช่เล็กๆ ด้วย!

เขาได้เห็นเรื่องทำนองนี้มามากแล้วในช่วงสองวันนี้จึงไม่ได้ประหลาดใจ เดิมคิดจะอ้อมหลบเลี่ยงไปไกลๆ แต่ไม่ทันไรเขาก็หยุดเดิน มุ่นคิ้วขึ้น แววเย็นเยียบฉายวาบในดวงตาดำดุจหุบเหวทั้งสอง

เขาเข้าประชิดอย่างเงียบเชียบ

ข้างหน้าเป็นทุ่งรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง การต่อสู้กำลังปะทุอยู่ในนั้น มีคนห้าคนกำลังล้อมโจมตีสองคน

ในห้าคนนั้นผู้ที่เป็นผู้นำสวมชุดดำแขนกว้าง ไอหมอกสีเทาหม่นพวยพุ่งไปทั้งตัว กลิ่นอายจองหองอหังการ เป็นอู่หวง!

สี่คนที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่หลินสวินไม่เคยพบมาก่อน ชายสองหญิงสอง กลิ่นอายล้วนแปลกประหลาดและคลุมเครือ ดุร้ายเป็นที่สุด

หลินสวินที่เคยได้เห็นวิชาต่อสู้ของสำนักโบราณจรัสเทพ มองปราดเดียวก็ตัดสินได้ว่าคนที่อยู่ข้างกายอู่หวงทั้งสี่คนต้องมาจากสำนักโบราณจรัสเทพเช่นกัน!

นี่ทำให้ในใจเขาอดกังขาไม่ได้ โลกภายนอกมีระดับจักรพรรดิมากมายขนาดนั้น ดูไม่ออกหรือว่าพวกอู่หวงมาจากโลกมืด

แต่ถ้าดูออก เหตุใดถึงให้คนของโลกมืดเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ได้

เรื่องนี้จะต้องมีความลึกลับที่ไม่มีใครล่วงรู้แน่!

และเมื่อได้เห็นพวกอู่หวงสู้อย่างดุเดือดกับคู่ต่อสู้สองคน ความรู้สึกสะท้านก็ผุดขึ้นในใจหลินสวินอย่างอดไม่ได้

สองคนนี้คือเถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิง ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในสิบอันดับแรกของศึกถกมรรแคว้นเมฆา เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคด้วยกันกับหลินสวิน

แต่ตามที่ลู่ตู๋ปู้ว่าไว้ อู่หวง เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงรวมตัวเป็นพันธมิตรกันนานแล้ว ตัดสินใจเคลื่อนไหวด้วยกัน

แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับถูกอู่หวงล้อมโจมตี!

หลินสวินไม่ต้องคิดสักนิดก็รู้ว่าพวกเถิงอี๋เฉินถูกอู่หวงหลอกแล้ว!

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น หลินสวินก็คร้านจะใส่ใจ แต่เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงล้วนได้รับฝากความหวังมาจากแคว้นเมฆาเหมือนกับเขา ถูกพวกอู่หวงตลบหลังเช่นนี้ นั่นก็ทำให้คนเดือดดาลเกินไปแล้ว

ตูม!

ในสนามรบ เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงถูกปิดล้อม กดข่มจนเงยหน้าไม่ขึ้น ดูกินแรงหาใดเทียบ บาดแผลเต็มตัวไปหมด

อู่หวงมือไพล่หลัง ยืนอยู่นอกสนามรบอย่างหยิ่งผยอง สั่งการโจมตี

ด้านอีกสี่คนออกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง การต่อสู้แต่ละครั้งแข็งกร้าวหาใดเทียบ ทั้งยังล้อมโจมตีร่วมกัน กดดันจนพวกเถิงอี๋เฉินส่อแววสุ่มเสี่ยงไม่หยุด อาจจะแพ้เมื่อไรก็ได้

“ทั้งสองอย่าดื้อดึงต่อต้านเลย นี่ก็คือการคัดเลือกถกมรรค ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องถูกคนอื่นฆ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ส่งยันต์ชีวิตของพวกเจ้าให้ข้าเสียดีกว่า”

นอกสนามรบอู่หวงสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย

แม้เขาเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ด้วยฐานะอันดับสามของศึกถกมรรแคว้นเมฆา แต่เขาไม่เคยมองตัวเองเป็นผู้แข็งแกร่งจากแคว้นเมฆา!

——