เหตุผลที่เย่เฉินต้องแยกตัวออกจากเฉินจื๋อข่ายกับหงห้าและคนอื่นๆ เพื่อหาโอกาสที่จะลงมือเพียงคนเดียว และลองต่อสู้กับนินจาของญี่ปุ่นที่ตามสะกดรอยตัวเอง ดูว่าพวกเขามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน

ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ในเมื่ออีกฝ่ายตามสะกดรอยตัวเองมาถึงโรงแรม พวกเขาคงคิดไม่ว่าตอนนี้ตัวเองจะไปที่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับไปโรงแรมอย่างแน่นอน

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาทั้งสี่คนจะไม่สะกดรอยตามตัวเองทั้งหมด

ไม่ใช่ว่าเย่เฉินกลัวพวกเขาร่วมมือกัน แต่เขารู้สึกว่าคนพวกนี้ตามสะกดรอยมาตั้งแต่โตเกียว มีเพียงแค่สี่คน ถ้าหากตัวเองฆ่าพวกเขาสี่คนจนหมด ทากาฮาชิมาจิคงไม่มีลูกน้องให้ใช้งานอีกแล้ว

ถ้าฆ่าอีกฝ่ายทั้งหมดในคราวเดียว เวลาที่เหลือของเขาที่ต้องอยู่ในญี่ปุ่น คงน่าเบื่ออย่างแน่นอน

ดังนั้น เย่เฉินหวังว่าจะกำจัดพวกเขา”ทีละคน”

มีเพียงการกำจัดทีละคนเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ทากาฮาชิมาจิเกิดความกลัวมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน

เมื่อออกจากร้านอาหาร เย่เฉินก็สังเกตเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายส่งคนมาสะกดรอยตามตัวเองเพียงแค่คนเดียว

ดังนั้นเขาก็เลยวางแผนที่กำจัดผู้ชายเพียงคนเดียวที่สะกดรอยตามเขาก่อน

ผู้ชายคนเดียวที่สะกดรอยตามเขามีชื่อว่าฟูจิบายาชิโอตะ เป็นญาติห่างๆกับตระกูลรองของฟูจิบายาชิ สมัยเด็กเขาก็ติดตามพ่อของฟูจิบายาชิมาสะเพื่อเรียนรู้วิชานินจา ดังนั้นเขากับฟูจิบายาชิมาสะจึงเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่กับศิษย์น้อง

ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสี่คนของฟูจิบายาชิมาสะ ถึงแม้ว่าฟูจิบายาชิโอตะจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เขามีพรสวรรค์มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาชำนาญด้านสะกดรอยและการอำพรางตัว หลายปีมานี้ ไม่ว่าเขาจะไปสะกดรอยตามใคร ก็ไม่เคยปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้

ฟูจิบายาชิโอตะสะกดรอยตามเย่เฉินตลอดทาง และติดตามเย่เฉินจนออกไปจากย่านใจกลางเมืองและย่านที่อยู่อาศัยที่แออัด เขารักษาระยะห่างจากเย่เฉินประมาณหนึ่งร้อยเมตรถึงสองร้อยเมตรเสมอ

เขาอำพรางตัวได้อย่างแนบเนียน เขากำหนดลมหายใจได้อย่างดีมาก ถ้าคนที่มีความสามารถไม่พอ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังสะกดรอยตามอยู่

หลังออกจากตัวเมือง เย่เฉินก็ตรงไปที่สวนสาธารณะที่อยู่ริมแม่น้ำ

เนื่องจากเป็นช่วงดึก อากาศหนาวเย็น และอยู่นอกเมือง ทำให้สวนสาธารณะไม่มีใครเลยสักคน

เมื่อเห็นว่าเย่เฉินกำลังจะเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ ฟูจิบายาชิโอตะที่สะกดรอยตามมาตลอดทาง ก็ไม่ลังเลและเดินตามเข้าไป

แต่ก็เกิดสิ่งที่เขาไม่คาดคิดขึ้นมา เย่เฉินที่ถูกเขาสะกดรอยตามมาโดยตลอดทาง เมื่อเดินเข้าไปในสวนสาธารณะแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!

ในฐานะสุดยอดนินจาที่มีฝีมือฟูจิบายาชิโอตะมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าบุคคลทั่วไปมากๆ เช่นการได้ยิน การมองเห็นและการได้กลิ่น เสียงที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน แต่เขาได้ยิน สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น แต่เขามองเห็นเสมอ

สิ่งที่เขาเก่งที่สุด คือการได้ยินเสียงต่างๆที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน

นินจาสะกดรอยในตอนกลางคืน ก็จะอาศัยประสาทสัมผัสด้านการได้ยินมากที่สุด

ในรัศมีสองถึงสามร้อยเมตร ฟูจิบายาชิโอตะสามารถได้ยินเสียงจิ้งหรีดคลานอยู่ในทุ่งหญ้า และการเคลื่อนไหวของมดที่คลานออกมาจากรัง

เนื่องจากเขามีประสาทสัมผัสด้านการได้ยินที่ดีขนาดนี้ ทำให้เขาสามารถได้ยินเสียงคนหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจ ในรัศมีห้าร้อยเมตรอย่างชัดเจน

ขณะที่คนกำลังอำพรางตัว เขาสามารถอยู่นิ่งๆได้ และไม่พูดได้ แต่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการหายใจและหยุดการเต้นของหัวใจได้ ดังนั้นคนทั่วไปจะหลบหนีจากการสะกดรอยของฟูจิบายาชิโอตะได้ยากมากๆ

แต่เมื่อสักครู่ เย่เฉินอยู่ในรัศมีประสาทสัมผัสการได้ยินและการมองเห็นของเขา แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีเสียงหายใจ และไม่มีเสียงการเต้นของหัวใจด้วย!

การกลั้นหายใจช่วงสั่นๆได้นั้นไม่ยาก แต่มนุษย์สามารถหยุดการเต้นของหัวใจได้เหรอ? เห็นได้ชัดว่านี่มันอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ไปแล้ว!

สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟูจิบายาชิโอตะรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที

เพราะเขาตระหนักได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ธรรมดาแล้ว!

เขารีบกำหนดลมหายใจของตัวเองให้แผ่วเบาที่สุดและระแวดระวังขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็หยุดนิ่งและไม่ขยับ และฟังเสียงรอบข้างอย่างละเอียด

ในขณะเดียวกัน เขาก็หยิบมีดคุไนสีดำสองเล่มออกมาจากหน้าอกของตัวเอง

มีดคุไนเป็นหนึ่งในอาวุธที่นิยมใช้กันอย่างมากของนินจา อาวุธนี้มีความยาวประมาณสิบห้าเซนติเมตร มีความคมทั้งสองด้านและมีด้ามจับสั้นๆ ซึ่งดูเหมือนมีดสั้น