เย่ฉางหมิ่นคิดว่าการข่มขู่ของตัวเองทำให้เย่เฉินยอมอ่อนลง ดังนั้นจึงแสยะยิ้มออกมาทันที “ก่อนอื่นไปหย่ากับเมียชั้นต่ำคนนั้นของแกก่อน แล้วค่อยกลับไปทำตามคำสั่งของปู่แก ตอนนี้ กู้เย้นจงรวมตระกูลกู้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว อำนาจของตระกูลกู้อยู่ในจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ลูกสาวของเขากับแกถูกกำหนดว่าต้องแต่งงานกัน ถ้าแกแต่งงานกับลูกสาวของเขา ต้องมีประโยชน์กับตระกูลเย่มากแน่ๆ”

พูดจบ เย่ฉางหมิ่นก็พูดต่อว่า “หรือไม่จะลองหลานสาวคนโตของตระกูลซูก็ได้นะ เป็นลูกสาวของซูโส่วเต้าเหมือนกัน เธอเป็นที่รักของตระกูลซูมาก ตอนนั้นแม่ของเธอก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบพ่อแกด้วย ถ้าเคยรักพ่อแกยังไงก็ต้องเอ็นดูแก ไม่แน่อาจจะยอมยกลูกสาวให้แกง่ายๆก็ได้นะ ถึงเวลานั้นต้องมีประโยชน์กับตระกูลเย่มากแน่ๆ!”

“เพราะฉะนั้น หลังจากหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ต้องพยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับหลานสาวคนโตของตระกูลซูก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าคว้าเธอมาได้ ก็แต่งงานกับเธอซะ แต่ถ้าไม่ได้ ก็แต่งกับลูกสาวของกู้เย้นจงตามเดิม!”

เย่เฉินหัวเราะออกมาเบาๆ “ที่แท้ตระกูลเย่ก็อยากให้ผมขายตัวนี่เอง!”

เย่ฉางหมิ่นเอ่ยพูดเสียงเย็น “นี่ไม่ถือว่าเป็นการขายตัว การเกี่ยวดองเป็นเรื่องปกติในสังคมชนชั้นสูง มันไม่ใช่แค่มีประโยชน์ต่อตระกูลเย่นะ แต่มีประโยชน์ต่อแกด้วย!”

เย่เฉินเหยียดยิ้ม “คุณอาครับ ในเมื่อการเกี่ยวดองมีประโยชน์ขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอาถึงหย่าล่ะครับ ทำไมคุณอาไม่ลองให้ท่ากู้เย้นจงหรือซูโส่วเต้าเองล่ะครับ? ถ้าหากว่าคุณอาให้ท่าพวกเขาสำเร็จล่ะก็ แบบนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเย่มากกว่าเหรอครับ?!”

เมื่อเย่ฉางหมิ่นได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกเย่เฉินตบบ้องหู ตอนนี้เธอถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า เย่เฉินดูเหมือนจะยอมอ่อนลง แต่ความจริงแล้วกำลังเหยียดหยามเธอต่างหากล่ะ!

คิดมาถึงตรงนี้ เธอรู้สึกทั้งโกรธและอาย กัดฟันแล้วด่าทอว่า “แกมันสัตว์เดรัจฉาน!ฉันเป็นอาแกนะ! กล้าเหยียดหยามฉันเหรอ?!”

เย่เฉินเอ่ยพูดเสียงเย็นว่า “เหยียดหยามงั้นเหรอ? นี่ถือว่าไว้หน้าสุดๆแล้วนะ ถ้าคุณอาเป็นผู้ชาย ป่านนี้ผมคงต่อยคุณอาหลายตลบแล้ว!”

เย่ฉางหมิ่นเดือดจนแทบจะเป็นลม กุมอกเอาไว้ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

เย่เฉินเองก็ขี้เกียจอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขาลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยพูดกับเย่ฉางหมิ่นอย่างดูแคลนว่า “กลับไปบอกตาแก่นั่นด้วย ถ้าเขาต้องการตี้เหากรุ๊ปและหมื่นล้านนั้นคืน ผมสามารถคืนให้ได้ทุกเมื่อ!”

พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็นิ่งไป แล้วเอ่ยพูดเสียงดุดันขึ้นมาว่า “แต่ว่า!”

“แค้นของพ่อแม่ผม ผมจะคิดคิดบัญชีกับเขาภายหลังแน่ๆ!”

“ถึงตอนนั้น ผมจะทวงทุกอย่างคืนจากทุกคนที่ต้องรับผิดชชอบ ทั้งกำไรและเงินทุน! ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นทั้งนั้น! แม้แต่เขา ก็จะไม่ยกเว้น!”

“แก…แก….” เย่ฉางหมิ่นโกรธจนตัวสั่น ชี้หน้าเย่เฉินพร้อมกับตะคอกออกมาอย่างกรุ่นโกรธว่า “แกมันสารเลว! เห็นว่าเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ เลยกล้าดูหมิ่นปู่แกแบบนี้เหรอ!มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”

เย่เฉินเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมดูหมิ่นเขาแล้วยังไง? ถ้าคุณไม่พอใจ ก็กลับไปฟ้องเขาเสียสิ!”

เย่ฉางหมิ่นกัดฟัน “ได้!ฉันจะเอาคำพูดที่แกพูดออกมาทุกประโยคในวันนี้ไปบอกปู่แก ถ้าหากแกถูกบีบจนกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่ให้โอกาสแกก็แล้วกัน!”

“ให้โอกาสผม?” เย่เฉินยิ้มเยาะ “คุณไม่มีสิทธิ์ให้โอกาสอะไรผมด้วยซ้ำ! แต่ว่า ถ้าผมสืบได้ในภายหลัง แล้วพบว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่ผมล่ะก็ ถึงตอนนั้น คุณก็อย่ามาขอโอกาสจากผมแล้วกัน!”

“แกแน่มากเหรอ!แน่มากหรือไง!” เย่ฉางหมิ่นเดือดเพราะเย่เฉินเป็นอย่างมาก เธอหยิบแก้วทรงสวยบนโต๊ะขึ้นมาปาลงพ้นทันที คำรามออกมาจากลำคอว่า “ฉันจะทำให้แกเสียใจ!”

เย่เฉินพยักหน้า ยิ้มเยาะออกมาแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ใช้วิธีไหนก็พยายามเข้านะครับ ผมรออยู่!”

พูดจบ เขาก็เดินตรงไปที่หน้าประตูทางเข้าโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา