เมืองใบไม้ทอง
สูงตระหง่านมโหฬาร เป็นเมืองแห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่หนึ่งล้านลี้ในแถบนี้ ปกครองโดยเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ในทุกวันจะมีสิ่งมีชีวิตของแต่ละเผ่าใหญ่ที่อาศัยอยู่ในใกล้ๆ แถบนี้มาทำการค้าขายที่เมืองใบไม้ทอง ส่วนใหญ่มักจะมาเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรฝึกปราณ
นี่ทำให้เมืองใบไม้ทองครึกครื้นมั่งคั่งหาใดเปรียบ ว่ากันตามขนาดเมือง ก็เพียงพอจะจัดอยู่ร้อยอันดับแรกของแดนเจินหลงได้
“ต้าหวง พวกเรามาเพื่อสืบข่าว หากไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ”
หลินสวินเอ่ยเตือน
ต้าหวงเจ้าหมอนี่ บุ่มบ่ามและเอาแต่ใจเกินไป หากไม่เตือนล่างหน้าต้องเป็นตัวก่อเรื่องแน่
ต้าหวงหลุดขำ ทำหน้าดูแคลน “วางใจเถิด พวกคนทั่วไปข้าคร้านจะใส่ใจ เทพบนสวรรค์จะถือสาเอาความกับมดปลวกพวกนั้นด้วยหรือ”
ประโยคนี้ช่างบาดหูยิ่ง มีปัญหาทั้งสามทัศนะ[1]
แต่หลินสวินก็คร้านจะไปถกเถียง ขอเพียงไม่ก่อเรื่อง ทุกอย่างล้วนคุยกันได้
ต่อมาหลินสวินกำชับซีและซย่าจื้อให้เก็บงำกลิ่นอาย ทำเช่นนี้ก็เพราะอยากให้เก็บงำตัวตนสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น
จากนั้นคนทั้งขบวนก็เคลื่อนย้ายไปยังเมืองใบไม้ทองที่อยู่ไกลๆ แห่งนั้น
ระหว่างทางพวกเขาพบเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกพิลึกมากมาย บ้างยังพอรู้จัก บางเผ่าพันธุ์แม้แต่บุคคลระดับต้าหวงกับซีก็ยังเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เช่นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ดุจดั่งคนแคระที่สูงหนึ่งฉื่อ ขาสองข้างมีรากแขนงงอกเต็มไปหมด เหนือศีรษะเป็นกิ่งใบสีเขียวมรกตพุ่มหนึ่ง ตาสามเหลี่ยม จมูกใหญ่ ในปากมีเขี้ยวคมขาวหิมะเล็กละเอียดเต็มไปหมด ดูอัปลักษณ์ยิ่ง
ทำเอาผู้คนยากจะระบุได้ ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตจำพวกต้นไม้ใบหญ้าหรือว่าประเภทสัตว์กันแน่ สรุปแล้วมันดูแปลกประหลาดยิ่ง
และยังมีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนลูกกระสุนขนาดมหึมาลูกแล้วลูกเล่า กำลังกระเด้งทะยานอยู่กลางอากาศ หลังจากพบเห็นทำเอาผู้คนอดอยากเข้าไปเตะสักป้าบไม่ได้…
แต่ไม่นานพวกหลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหน เมื่อพบเห็นขบวนของพวกเขาต่างทำสีหน้าแปลกประหลาด เสมือนตกใจแกมสงสัยยิ่ง ประหนึ่งจับจ้องสัตว์ประหลาดกลุ่มหนึ่ง
นี่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว เป็นสถานการณ์ใดกัน
“เจ้าไม่สังเกตหรือ ว่าสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นระหว่างทางไม่มีผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์สักคน บางทีคงเพราะเป็นเช่นนี้ เลยทำให้ตอนที่พวกเราปรากฏตัว พวกเขาจึงรู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่ง”
เสียงของซีเย็นใสกังวาน
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ การเตือนของซีทำให้เขาเองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในแดนเจินหลงแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เหมือนจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากสุดจะเปรียบ
ต่อให้สิ่งมีชีวิตบางส่วนแปลงร่างเป็นเผ่ามนุษย์ แต่ลักษณะและกลิ่นอายของพวกเขาก็แตกต่างจากพื้นฐานที่เผ่ามนุษย์มี
“สหายเผ่าสุนัขท่านนี้”
ทันใดนั้นชายร่างสูงล่ำคนหนึ่งก็ทะยานมาจากไกลๆ มีเส้นผมทองอร่ามทั่วศีรษะ นัยน์ตาดุจดั่งระฆังทองแดง บนลำแขนที่บึกบึนดั่งหินผาปกคลุมด้วยเกล็ดหนึ่งชั้น
เขามองต้าหวงแล้วชี้ไปยังหลินสวิน ซย่าจื้อและซี ก่อนกล่าวว่า “พวกนี้คือทาสเผ่ามนุษย์ที่เจ้าจับมาได้หรือ”
ต้าหวงอึ้งไป ทอดสายตามองไปทางพวกหลินสวิน พวกหลินสวินเองก็ขมวดคิ้ว ประโยคเดียวที่เอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจ กลับเป็นความอัปยศอดสูต่อเผ่ามนุษย์
เมื่อมองดูชายร่างสูงล่ำคนนี้ ท่าทางและคำพูดล้วนตามสบายยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับการเห็นเผ่ามนุษย์เป็นพวกต่ำต้อยราวกับทาสมาเป็นเวลายาวนาน
หนำซ้ำเขาพูดคุยกับต้าหวงตรงๆ เปิดเผยทัศคติของเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว
“เจ้ามีปัญหาหรือ” ต้าหวงถาม
“คุณชายของข้าถูกใจทาสหญิงคนนี้” ชายร่างกำยำชี้ไปที่ซี “คิดอยากซื้อนางเอาไว้ เจ้าว่าราคามาเลย”
ดวงตาสุนัขของต้าหวงเบิกกว้าง คล้ายไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า… อยากซื้อนาง?”
ชายร่างกำยำขมวดคิ้ว “แค่ทาสต่ำต้อยคนหนึ่ง อย่าบอกนะว่าสหายดูหมิ่นคิดว่าเผ่าสิงห์มังกรทองคำของข้าซื้อไม่ได้”
กล่าวพลางเขาสะบัดมือลวกๆ ถุงเก็บของใบหนึ่งก็หล่นตุบตรงหน้าต้าหวง “ในนี้เป็นเงินสมบัติหนึ่งพันเจินหลง หากอยู่ในท้องตลาดก็เพียงพอจะซื้อทาสเผ่ามนุษย์เจ็ดแปดคนได้แล้ว”
ต้าหวงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา กล่าวว่า “คุณชายของเจ้าอยู่ที่ไหน”
ชายร่างกำยำชี้ไปยังที่ไกลๆ ห้วงอากาศตรงนั้นมียานสมบัติขนาดมหึมาลำหนึ่งจอดอยู่ ทั่วตัวยานทองจรัส ส่องแสงเปล่งประกายภายใต้แสงนภา
ตอนที่พวกหลินสวินมองไป ก็เห็นชายหนุ่มผมทองที่สวมชุดหรูหราอาภรณ์หยก ท่าทางองอาจหาใดเปรียบเดินออกมาจากยานสมบัติ นัยน์ตาคู่นั้นกวาดมองเข้ามาดุจดั่งสายฟ้า กล่าวว่า “สหาย ข้าถูกใจแม่นางน้อยคนนั้น ไว้หน้ากันหน่อยดีหรือไม่”
ในถ้อยคำเผยแววหยิ่งทระนง
ต้าหวงถอนใจเบาๆ “หลินสวิน นี่ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน แต่เป็นพวกสารเลวที่ไม่ลืมตาพวกนี้วิ่งโร่มาตายแบบโง่ๆ เองนะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ชายร่างกำยำเดือดดาล
ต้าหวงปรายตามองเขาปราดหนึ่ง ปึง! ฝ่ายหลังร่างระเบิดทันที เลือดเนื้อที่แตกละเอียดล้วนถูกกำจัดทิ้งตรงๆ
ต้าหวงเหยียดหยาม “โหวกเหวกโวยวาย คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่ถือสากับพวกมดปลวก”
บนยานสมบัติสีทองที่อยู่ไกลๆ นั้น ชายหนุ่มชุดหรูหราขมวดคิ้วนิ่วหน้า ตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าถึงขั้นกล้าฆ่าผู้ติดตามข้างกายข้าหรือ!”
คนพรรค์นี้ต้าหวงฆ่าไปก็ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ ถึงขั้นคร้านจะพูดด้วยซ้ำ
นัยน์ตาสุนัขของมันกวาดมองปราดหนึ่ง ในปากสุนัขส่งเสียงดัง ‘ปึง’ ออกมา
ยานสมบัติสีทองที่อยู่ไกลๆ ก็แตกระเบิดออกเป็นเสียงดังปึง ชายหนุ่มชุดหรูหราคนนั้นยังไม่ทันได้วิ่งหนี ก็ระเบิดโครมไปพร้อมกับยานสมบัติตรงๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้ห้ามปราม กล้าคิดไม่ซื่อกับซี ต่อให้ต้าหวงไม่ลงมือ เขาก็ไม่มีทางเกรงใจเป็นแน่
พื้นที่แถบนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองใบไม้ทองแล้ว เมื่อเห็นยานสมบัติของเผ่าสิงห์มังกรทองคำแตกระเบิด สิ่งมีชีวิตมากมายแถวนั้นต่างตกใจ
“เผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยพวกนั้นถึงขั้นกล้าลงมือกับเผ่าสิงห์มังกรทองคำหรือ”
สิ่งมีชีวิตหลากเผ่าจำนวนมากไม่อยากจะเชื่อ
“กี่ปีแล้ว เผ่ามนุษย์ก็เหมือนทาส ได้แต่ถูกกดขี่ข่มเหง กล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าคนพวกนี้คิดจะก่อกบฏหรือ”
เสียงจอแจดังขึ้น สายตามากมายมองไปทางพวกหลินสวิน เจือแววตกใจแกมสงสัย และแฝงความตกตะลึง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินสวินและคนอื่นๆ ต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สิ่งมีชีวิตในแดนเจินหลงนี่ ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นมิตรกับเผ่ามนุษย์ยิ่งนัก!
“บังอาจ! ถึงขั้นกล้าก่อเรื่องหน้าเมืองใบไม้ทอง ไป จับตัวพวกเหลือขอเผ่ามนุษย์พวกนั้นมาให้ข้าทั้งหมด!”
ทันใดนั้นในเมืองใบไม้ทองที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงตะโกนดังสนั่นดั่งฟ้าร้องเสียงหนึ่งดังลอยมา กึกก้องชั้นเมฆ
บนหอกำแพงเมืองมีเงาร่างชั่วร้ายสายหนึ่งยืนอยู่ สิ่งมีชีวิตมากมายต่างรู้จัก นั่นคือ ‘โหวขุย’ ผู้ยิ่งใหญ่ระดับกึ่งจักรพรรดิของเผ่าจักรพรรดิเจินโห่ว!
ทันใดนั้นเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากเมืองใบไม้ทอง กร้าวแกร่งแข็งขัน เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารนองเลือด พุ่งทะยานมาทางพวกหลินสวิน
ฟุ่บ!
ครั้งนี้ซีเคลื่อนไหวแล้ว โบกมือส่งๆ คราหนึ่ง
ก็เห็นในห้วงอากาศ เงาร่างที่มีมากถึงหลายสิบคนกลุ่มนั้นประหนึ่งแมลงวันถูกพายุม้วนหอบ แต่ละคนถูกฉีกกระชากร่างระเบิด หมอกเลือดคละคลุ้ง
ระหว่างโบกมือ เคลื่อนขวางหกด้าน สังหารทหารยามเฝ้าเมืองเผ่าเจินโห่วทั้งหมด!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่นี้ต่างอึ้งงัน ส่งเสียงร้องน่าสะพรึงออกมา ในที่นั้นเริ่มอลหม่านขึ้นมา
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าซีจะเป็นฝ่ายลงมือจึงอดมองนางปราดหนึ่งไม่ได้ ฝ่ายหลังเอ่ยเสียงเย็นใสกังวาน “จากพลังของพวกเรา เหตุใดต้องยอมทน”
กล่าวพลางเงาร่างของนางหายไปกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็ปรากฏตัวบนหอกำแพงเมือง คว้ากึ่งจักรพรรดิ ‘โหวขุย’ ที่ชั่วร้ายคนนั้นไว้ได้ในคราเดียว
ฝ่ายหลังก่อนหน้านี้ยังไอสังหารพลุ่งพล่าน วางโตหาใดเปรียบ เวลานี้กลับตกใจเกือบฉี่เล็ด กล่าวด้วยความพรั่นพรึง “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”
กร๊อบ!
คอของโหวขุยถูกบิดหัก ส่วนวิญญาณของเขาก็ถูกซีดูดออกมาตามใจชอบ ควบคุมวิชาลับทำการค้นวิญญาณ
ต้าหวงคึกคักขึ้นมาแล้ว “เจ้าหนู เห็นหรือยัง นี่ถึงจะเป็นมาดที่พวกเราควรกระทำ ตอนที่ควรถ่อมตนย่อมต้องถ่อมตน ตอนที่ควรโอหัง ไหนเลยจะมัวสนใจใครหน้าไหนอยู่อีก”
มุมปากของหลินสวินกระตุก ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในแดนเจินหลง จะปฏิบัติต่อ… ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ของพวกเราเช่นนี้”
แดนเจินหลงปกครองโดยเผ่าเจินหลง นี่หมายความว่าในสายตาของเผ่าเจินหลง ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ก็เป็นพวกต้อยต่ำประหนึ่งทาสด้วยหรือไม่
“รากฐานพลังของเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วยังนับว่าไม่เลว มีเจ้าเฒ่าระดับจักรพรรดิขั้นแปดสองคนควบคุมดูแล พวกระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ ก็มีสิบกว่าคน”
บนหอกำแพงไกลๆ เสียงเย็นใสกังวานของซีดังขึ้น “เผ่านี้ปกครองอาณาเขตประมาณสามสิบล้านลี้ มีขุมอำนาจบริวารเป็นเผ่าพันธุ์น้อยใหญ่ร้อยกว่าแห่ง”
“แต่ข้าหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงจากตัวคนผู้นี้ไม่ได้เลย ได้แต่บอกว่า คนเช่นนี้… คงเหมาะแค่เฝ้าประตูเท่านั้น”
กล่าวพลางปลายนิ้วของซีกดบี้คราหนึ่ง พลังจิตของโหวขุยคนนั้นก็แหลกสลายทุกกระเบียด
พวกหลินสวินเคลื่อนย้ายกลางอากาศมาถึงบนหอกำแพงเมือง
เมืองใบไม้ทองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ เพียงแต่การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นที่นี่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในพื้นที่ใกล้เคียง สิ่งมีชีวิตมากมายต่างหนีตายจ้าละหวั่น ในที่นั้นชุลมุนหาใดเปรียบ
“จากที่ข้าดู แค่รออยู่ที่นี่ เฒ่าเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วพวกนั้นจะต้องเป็นฝ่ายมุ่งหน้ามาแน่”
ทันทีที่ซีเอ่ยประโยคนี้ออกมา ก็ได้รับการเห็นด้วยจากหลินสวินและต้าหวงทันที
“ข้าแค่สงสัยยิ่งว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ เหตุใดต้องดูหมิ่นและเหยียดแคลนผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ขนาดนั้น”
หลินสวินกล่าวพลางเอื้อมมือคว้าออกไปคราหนึ่ง คว้าผ่านอากาศจับนกร้ายที่สีสันสดใสได้ตัวหนึ่งก็ดึงมันมา
หลินสวินไม่ได้ซักถามสักนิด ใช้จิตรับรู้เจาะเข้าไปในพลังจิตของอีกฝ่ายและเริ่มสัมผัสรับรู้
ครู่ต่อมาในที่สุดหลินสวินก็ได้รับคำตอบที่เลือนรางมาส่วนหนึ่ง
ในแดนเจินหลงมีเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตนับหมื่นกระจายตัวอยู่ และเผ่าเจินหลงก็เป็นประมุขแห่งหมื่นเผ่า นายเหนือหัวของโลกแห่งนี้
ราวๆ แสนปีก่อนหน้านี้ จู่ๆ ‘จักรพรรดิมังกรหมิงหลัว’ ผู้นำเผ่าเจินหลงในตอนนั้นก็ออกคำสั่ง มองเผ่ามนุษย์เป็นนักโทษของแดนเจินหลง ประกาศรวมพลสิ่งมีชีวิตหมื่นเผ่าเข้าด้วยกัน ทำการกำราบอย่างอำมหิตเลือดเย็น
เวลาเพียงแค่ร้อยปี ขุมอำนาจเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในแดนเจินหลงก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ โรยราอย่างสิ้นเชิง
จนกระทั่งต่อมาหลังจากจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวออกจากแดนเจินหลง มุ่งหน้าไปยังโลกอีกฟากฝั่ง แดนเจินหลงถึงได้หยุดการกดข่มที่มีต่อเผ่ามนุษย์
แต่ตอนนั้นในแดนเจินหลงอันกว้างใหญ่ ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่รอดชีวิตรวมกันแล้วก็ไม่เกินแสนคน กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้อยต่ำที่สุดในแดนเจินหลงไปโดยปริยาย จนกระทั่งบัดนี้ยังคงถูกสิ่งมีชีวิตหมื่นเผ่าข่มเหงและเหยียบย่ำ กดขี่รังแกอย่างอาจหาญ
ข้อเท็จจริงนี้ทำเอาในใจหลินสวินยังเย็นวาบระลอกหนึ่ง แสนปีก่อน ทั่วทั้งแดนเจินหลงสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์!
นี่เป็นเพราะอะไรกันแน่
“ต้าหวง เจ้ารู้จักจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวหรือไม่” หลินสวินถาม
“รู้จัก”
ต้าหวงเอ่ยแบบไม่ต้องคิด “เจ้าเฒ่าคนนี้เมื่อตอนนั้นเคยเข้าร่วมศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ว่ากันว่าพวกระดับจักรพรรดิเผ่าเจินหลงสิบกว่าคนที่มุ่งหน้าไปพร้อมกับเขาในตอนนั้น ล้วนถูกจักรพรรดิกระบวนลู่สังหาร จักรพรรดิมังกรหมิงหลัวก็บาดเจ็บสาหัส หนีกลับมาแดนเจินหลง”
หลินสวินอึ้งไป ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปะทุขึ้นในยุคบรรพกาลเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน
และจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวออกคำสั่งสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ก็เป็นช่วงแสนปีก่อนเหมือนกัน ในนี้จะมีความเกี่ยวข้องบางประการหรือไม่
…………………..
[1] สามทัศนะ หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า