เมืองใบไม้ทองกว้างใหญ่อย่างที่สุด ครอบครองอาณาเขตไกลถึงหลายหมื่นลี้ ท้องถนนภายในนั้นแน่นขนัดดุจดั่งใยแมงมุม ตึกอาคารตั้งเรียงราย
แต่พวกหลินสวินไม่ได้รอนานนัก ก็มีคนใหญ่คนโตจากเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วกลุ่มหนึ่งเคลื่อนย้ายผ่านอากาศมาเยือน
แต่ละคนไอสังหารพลุ่งพล่าน สั่นสะท้านเมฆลม ชักนำการเคลื่อนไหวสะเทือนเลื่อนลั่นกลางเมือง
ผู้นำคือชายเครายาวชุดม่วงคนหนึ่ง นัยน์ตาเขียวมรกตเจือประกายแสงอำมหิตเลือดเย็น ทั่วร่างคละคลุ้งอานุภาพน่าสะพรึงที่เป็นของระดับจักรพรรดิ
พวกเขาองอาจกึกก้อง เคลื่อนไหวดังกระหึ่มจากในเมือง เห็นได้ชัดว่าเย่อหยิ่งและทรงพลังหาใดเปรียบ
“ถึงขั้นมีคนกล้าวิ่งมาอาละวาดในเมืองพวกเรา ข้าว่าเขาคงคร้านจะมีชีวิคอยู่แล้ว!”
ชายที่ผมเขียวทั่วศีรษะคนหนึ่งน้ำเสียงเข้มขรึม
คนอื่นๆ ต่างก็ท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นกัน
ในแดนเจินหลงมีเผ่าเจินหลงเป็นประมุข ส่วนในเมืองใบไม้ทองก็มีพวกเขาเผ่าเจินโห่วเป็นประมุข!
ตอนนี้ถึงกับมีเผ่ามนุษย์ต้อยต่ำมุ่งหน้ามาหาเรื่อง นี่ทำให้คนของเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วเหล่านี้ถึงขั้นไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเหลือขออย่างเผ่ามนุษย์พวกนั้นกล้าโอหังปานนี้
“เอ๋ พวกเขาไม่ได้เผ่นหนี!”
ไม่นานพวกเขาทั้งขบวนก็มองเห็นพวกหลินสวินที่ยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง ต่างอดแปลกใจไปพักหนึ่งไม่ได้
“อย่าบอกนะว่าคิดจะบุกเข้ามา”
ชายชุดม่วงที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ผู้อาวุโสกลัวอะไร นี่เป็นถึงอาณาเขตของพวกเราเผ่าเจินโห่ว ต่อให้ราชันสวรรค์มาเองก็ต้องสวามิภักดิ์ต่อพวกเรา!”
ชายผมเขียวคนนั้นกล่าวแล้วพรวดพราดพุ่งออกไป “ข้าจะไปหยั่งเชิงความสามารถของสวะพวกนั้นก่อนสักหน่อย!”
สวบ!
เงาร่างของเขาเคลื่อนย้าย มาถึงเบื้องหน้าหอกำแพงเมืองนั้น กวาดสายตามองพวกหลินสวินปราดหนึ่ง น้ำเสียงอึมครึม “แค่พวกสวะอย่างพวกเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบก็เห็นซีดีดนิ้วคราหนึ่ง
ปัง!
เจ้าคนที่ผมเขียวทั่วศีรษะ จองหองและบุ่มบ่ามคนนี้ ร่างกายแตกระเบิดกลางทาง ละอองเลือดสาดกระเซ็นปานน้ำตก
หลินสวิน ซย่าจื้อ ต้าหวงล้วนสีหน้าราบเรียบ ทำเหมือนมองไม่เห็น
และห่างออกไปผู้แข็งแกร่งเผ่าเจินโห่วอย่างพวกชายชุดม่วงแต่ละคนล้วนไม่อยากเชื่อ ไม่พูดจาสักคำก็ฆ่าคนแล้ว?
พวกเขายังไม่เคยเจอศัตรูที่กร้าวแกร่งดุดันเช่นนี้มาก่อน!
“เจ้าของเรื่องมาแล้ว เจ้าลงมือหรือให้ข้าลงมือ” ซีเอ่ยถามเสียงเย็นใสกังวาน
“ข้าแล้วกัน”
หลินสวินเดินขึ้นไปข้างหน้า เพิ่งทำท่าจะพูดอะไรก็เห็นชายชุดม่วงที่เป็นผู้นำคนนั้นถึงกับโค้งตัวคารวะตรงๆ กล่าวอย่างหวาดหวั่นสั่นกลัว “ข้าน้อยโหวเทียนสิงเผ่าเจินโห่ว คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน!”
ผู้แข็งแกร่งเจินโห่วใกล้ๆ เขาเหล่านั้นต่างพากันอึ้งงัน แทบจะกระโดดเหยงขึ้นมา เรื่องอะไรกัน
ห่างจากเมืองไปไม่ไกล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าใดที่เป็นพยานเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างก็มีอาการปากอ้าตาค้าง ‘จักรพรรดิสงครามเทียนสิง’ ของเผ่าเจินโห่วถึงกับโค้งคารวะต่อเผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยพวกนั้น?
นี่บ้าไปแล้วชัดๆ!
หากแพร่ออกไปเผ่าเจินโห่วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก
แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตมากมายตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์เหล่านั้น… เกรงว่าไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปจะเทียบชั้นได้!
“ไม่ลงมือแล้ว?” หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
โหวเทียนสิงเหงื่อกาฬท่วมศีรษะ กล่าวอย่างสั่นกลัว “ก่อนหน้านี้พวกข้าไม่มีตากันเอง หวังว่าใต้เท้าผู้อาวุโสทุกท่านจะเมตตาอย่าโกรธเคืองพวกข้าเลย”
ต้าหวงหัวเราะเยาะ “ระดับจักรพรรดิผู้สูงส่งกลับถูกทำให้ตกใจจนกลายเป็นสภาพนี้ ไม่เอาอ่าวจริงๆ!”
โหวเทียนสิงอักอ่วน ก้มหน้าต่ำ ยิ่งถ่อมตนมากขึ้นเรื่อยๆ “ผู้อาวุโสทุกท่าน หากไม่รังเกียจเชิญตามข้าน้อยไปเป็นแขกในเผ่าด้วย ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้สรุปแล้วเผ่าเจินโห่วของพวกข้าก็มีความผิดค้ำคออยู่ก่อน พวกข้าย่อมต้องชดเชยสิ่งที่ทำผิดพลาด”
“ได้”
หลินสวินพยักหน้าตอบตกลง
โหวเทียนสิงคล้ายยกภูเขาออกจากทันที เผยรอยยิ้มกระตือรือร้นออกมา กล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน โปรดตามข้ามา”
จากนั้นเขาก็นำทางอยู่เบื้องหน้า พวกหลินสวินทั้งขบวนก็เดินตามอยู่ข้างหลัง
ในฐานะนายเหนือหัวที่ปกครองอาณาเขตสามสิบล้านลี้แถบนี้ ที่ตั้งของเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วไม่ได้อยู่ในเมืองใบไม้ทองแห่งนี้ หากแต่ตั้งอยู่ในเทือกเขางามวิจิตรแถบหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองนี้ออกไปแปดร้อยลี้ เรียกได้ว่าเป็นเขาแดนมงคลแห่งหนึ่ง
ในภูเขาประกายวิญญาณไหลเวียน แสงศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง น้ำตกกระเซ็นน้ำพุไหลสาด ต้นไม้เก่าแก่กระจายทั่ว โถงเรือนเก่าแก่ตั้งตระหง่านเรียงรายให้เห็นทุกแห่งหน
โหวเทียนสิงพาพวกหลินสวินเข้าไปในโถงคฤหาสน์แห่งหนึ่ง หลังจากนั่งลงแล้วโหวเทียนสิงก็กล่าวขออภัยซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อน จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงสาเหตุการมาของพวกหลินสวิน
หลินสวินไม่มีอะไรต้องปิดบัง บอกกล่าวเรื่องที่จะมุ่งหน้าไปเผ่าเจินหลงให้ฟัง
“ทุกท่านจะไปเผ่าเจินหลงเพื่ออะไรหรือ” โหวเทียนสิงอดเอ่ยถามไม่ได้
ต้าหวงกล่าวอย่างเย็นเยียบ “นี่ใช่เรื่องที่เจ้าจะถามได้หรือ”
โหวเทียนสิงอึกอักทันที กล่าวว่า “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสทุกท่าน ที่ตั้งของเผ่าเจินหลงอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันออก นามว่า ‘วังมังกร’ แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ เผ่าเจินโห่วของพวกข้าก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน”
พอเห็นหลินสวินขมวดคิ้ว โหวเทียนสิงก็รีบกล่าวเป็นพัลวัน “แต่ผู้อาวุโสทุกท่านวางใจ เผ่าเจินโห่วของข้าสามารถติดต่อกับผู้แข็งแกร่งเผ่าเจินหลงได้แน่”
“ต้องรอนานแค่ไหน” หลินสวินถามตรงๆ
“สิบวัน ไม่สิ สามวัน!” โหวเทียนสิงกล่าว “ในแดนเจินหลงแห่งนี้ คนที่เชิญได้ยากที่สุดก็คือผู้แข็งแกร่งเผ่าเจินหลง หวังว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะเข้าใจ”
หลินสวินพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
โหวเทียนสิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ขอเพียงผู้อาวุโสทุกท่านไม่ถือสาความผิดพลาดของเผ่าเจินโห่วของข้าก็เพียงพอแล้ว”
ต่อมาหลินสวินก็ถามถึงเรื่องราวบางส่วน
โหวเทียนสิงก็ให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุด บอกทุกอย่างที่รู้แบบไม่มีเก็บงำ
นี่ทำให้หลินสวินเข้าใจเหตุการณ์เกี่ยวกับแดนเจินหลงบางส่วนได้ในเวลาไม่นาน เพียงแต่ตอนที่หลินสวินถามถึงสาเหตุที่จักรพรรดิมังกรหมิงหลัวสังหารเผ่ามนุษย์ โหวเทียนสิงกลับส่ายหน้าเป็นเชิงไม่รู้
“เมื่อหนึ่งแสนปีก่อนจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวเป็นผู้นำเผ่าเจินหลง เรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ สิ่งที่เขาตัดสินใจ เผ่าไหนบ้างจะกล้าไม่เชื่อฟัง”
โหวเทียนสิงกล่าว “เพราะเรื่องนี้ ว่ากันว่าภายในเผ่าเจินหลงก็เคยเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้น แต่สุดท้ายล้วนถูกจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวกำราบเพียงคนเดียว”
หลินสวินถาม “กล่าวเช่นนี้ คำสั่งสังหารเผ่ามนุษย์เป็นการกระทำของจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวแต่เพียงผู้เดียวหรือ”
โหวเทียนสิงยิ้มแหยๆ กล่าวว่า “นี่ข้าก็ไม่กล้าวิจารณ์โดยพลการ”
ไม่นานหลินสวินก็ถามถึงงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรที่เปิดฉากเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน
สำหรับเรื่องนี้โหวเทียนสิงพอรู้อยู่บ้าง
งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรเป็นงานชุมนุมอันเป็นประวัติการณ์ครั้งหนึ่งของเผ่าเจินหลง ตอนที่เปิดงานในปีนั้นก็ทำเอาทั้งใต้หล้าสะเทือนเลื่อนลั่น
แต่ผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ได้ มีเพียงเผ่าเจินหลงรวมถึงเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ที่อยู่ใต้ปกครองของเผ่าเจินหลงพวกนั้น
เก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่นั่น มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดส่วนหนึ่งกับเผ่าเจินหลง ต่างมองเผ่าเจินหลงเป็นประมุข
แบ่งออกเป็นชือน้ำแข็ง ปี้อั้น ฟู่ซี่ ผูเหลา ซวนหนี ป้าเซี่ย ฉิวหนิว เฉาเฟิง หยาจื้อ!
และตอนที่ได้รู้เรื่องพวกนี้ นัยน์ตาหลินสวินก็ผิดแปลกไปทันที ตอนยังเด็กเขาเคยได้รับมรดกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มรรคแห่งการแปรเปลี่ยนเก้าอย่างเหมือนกับเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่นี้พอดิบพอดี
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ
ไม่ใช่แน่นอน!
ปีนั้นอ๋าวเจิ้นเทียนและอิ๋นฮวนมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ ตอนที่จะพาตัวจ้าวจิ่งเซวียนมาก็เคยพูดว่า มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนี้เป็นความลับที่ไม่แพร่งพรายสู่คนนอกของเผ่าเจินหลง เป็นมรดกที่เหมือนของต้องห้ามก็ไม่ปาน!
และมรดกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนี้ ลู่ป๋อหยาก็เหลือทิ้งไว้ในจักรวรรดิจื่อเย่า
ขณะเดียวกันจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า มารดาของจ้าวจิ่งเซวียน ก็เป็นทายาทสายตรงของเผ่าเจินหลง จากที่อ๋าวเจิ้นเทียนพูดในตอนนั้น มารดาของจ้าวจิ่งเซวียนก็คือน้องสาวแท้ๆ ของผู้นำเผ่าเจินหลง!
และนี่ก็หมายความว่า บนตัวจ้าวจิ่งเซวียนก็มีสายเลือดของเผ่าเจินหลงไหลเวียนอยู่
เพราะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นหลินสวินจึงยอมให้จ้าวจิ่งเซวียนตามอ๋าวเจิ้นเทียนไปเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรในแดนเจินหลงนี้ด้วยกัน
และจากที่โหวเทียนสิงพูดมา ในงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรที่เปิดม่านเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าอย่างหนึ่ง ส่วนข่าวสารในงานชุมนุมครั้งนี้ล้วนถูกเผ่าเจินหลงปิดเอาไว้มิดชิด
จนบัดนี้โลกภายนอกต่างพูดกันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรครั้งนั้น ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เผ่าเจินหลงก็ส่งเฒ่าดึกดำบรรพ์กลุ่มหนึ่งออกมา ลงมือตัดเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างแดนเจินหลงกับทางเดินโบราณฟ้าดาราออกอย่างสิ้นเชิง!
กล่าวถึงตรงนี้โหวเทียนสิงก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนั้นหมื่นเผ่าใต้หล้าต่างประหลาดใจยิ่ง เกิดอะไรขึ้นในงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรกันแน่ ถึงกับทำให้เผ่าเจินหลงทำลายเส้นทางที่เชื่อมต่อกับทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วยตัวเอง นี่ไม่ปกติเกินไป”
ต้าหวงหัวเราะพรืดออกมา “คงไม่ใช่ว่าเผ่าเจินหลงกลัวจะมีคนบุกเข้ามาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราหรอกกระมัง หรือไม่ก็ ผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นครั้งนั้นอาจจะเรียกภัยบางอย่าง และภัยพวกนี้ก็เกี่ยวข้องกับทางเดินโบราณฟ้าดารานั่น?”
ผู้พูดไม่มีเจตนา ผู้ฟังดันคิดตาม หนังตาหลินสวินกระตุกคราหนึ่ง ในใจอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่าแดนเจินหลงติดต่อกับทางเดินโบราณฟ้าดาราน้อยมากเสมอมา
และตอนนั้นจิ่งเซวียนก็ออกจากทางเดินโบราณฟ้าดารามุ่งหน้ามาแดนเจินหลง เพื่อจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรนั่น แต่ในงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรนั่นดันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บางประการขึ้น…
ทั้งหมดนี้ออกจะบังเอิญเกินไปหน่อย
คุยกันได้ไม่นานเท่าไหร่ โหวเทียนสิงก็ลุกขึ้นแล้วออกไป บอกว่าจะไปติดต่อผู้แข็งแกร่งเผ่าเจินหลง ให้พวกหลินสวินรออยู่ที่นี่สามวัน
จนกระทั่งโหวเทียนสิงออกไป คราวนี้ต้าหวงจึงแค่นเสียงเย็นสื่อจิตว่า ‘ท่าทางหวาดกลัวตัวสั่นเมื่อครู่ของเจ้าหมอนั่น เสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น’
ซีก็กล่าวเช่นกัน ‘หลังจากพวกเราเข้าสู่โถงคฤหาสน์นี้ มีพลังเจตจำนงไม่น้อยเคยลอบสอดส่องสถานการณ์ของที่นี่ในเงามืด’
หลินสวินพยักหน้า กล่าวด้วยสีหน้าสงบ ‘เผ่าจักรพรรดิเก่าแก่ที่ปกครองอาณาเขตสามสิบล้านลี้ มีหรือจะคุกเข่าคารวะต่อพวกเราภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยหยั่งเชิงมาก่อน’
นิ่งไปพักหนึ่งเขากล่าวต่อไปว่า ‘ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่าสิ่งมีชีวิตในแดนเจินหลงนี้ล้วนมองเผ่ามนุษย์เป็นทาสต่ำต้อย ขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่อย่างเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วย่อมไม่มีทางก้มหัวให้พวกเราจากใจจริง’
‘เช่นนั้นเจ้ายังจะตามเขามาอีก?’ ต้าหวงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
‘ไม่เข้าถ้ำเสือมีหรือจะได้ลูกเสือ หากเขาช่วยพวกเราติดต่อคนของเผ่าเจินหลงอย่างบริสุทธิ์ใจ ข้าก็คร้านจะถือสากับพวกเขา ถ้าหากไม่จริงใจ…’
หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มมองต้าหวง ซี ซย่าจื้อ น้ำเสียงเรียบเฉย ‘ก็ทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นจริงใจว่าง่ายขึ้นมาสักหน่อย’
พวกเขาพูดคุยกันไปมา ต่างใช้การสื่อจิต ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกคนลอบได้ยิน
ขณะเดียวกันในโถงคฤหาสน์เก่าแก่ที่ปกคลุมด้วยพลังต้องห้ามชั้นแล้วชั้นเล่าแห่งหนึ่ง ก็มีสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าเจินโห่วทั้งกลุ่มรวมตัวกันอยู่
สีหน้าพวกเขาแต่ละคนเย็นเยียบมืดทะมึน นัยน์ตาทอประกายหนาวเยือกลุกโชน
เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหอกำแพงเมืองใบไม้ทอง รวมถึงการตายของกึ่งจักรพรรดิโหวขุยถูกพวกเขารับรู้นานแล้ว และจากการสอดส่องเมื่อครู่ ก็ทำให้พวกเขาฟันธงได้ว่า หนึ่งชาย สองหญิง กับหนึ่งสุนัขนี้ ล้วนเป็นพวกระดับจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
ส่วนพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่นั้น กลับไม่สามารถระบุได้ แต่ที่สามารถมั่นใจได้คือ การที่ยอมมาเป็นแขกของพวกเขาเผ่าเจินโห่วอย่างอาจหาญเช่นนี้ แค่ตัดสินจากความใจกล้าจุดนี้ก็ไม่ใช่พวกระดับจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบชั้นได้แล้ว!
นี่ก็ทำให้ในใจของพวกเขายุ่งเหยิงหาใดเปรียบ ลังเลตัดสินใจไม่ได้
และในเวลานี้ โหวเทียนสิงผลักประตูเข้าไป
……………………….