พิธีบูชาบรรพบุรุษของตระกูลเย่ เป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลเย่

ตระกูลใหญ่ ๆ ต่างก็ให้ความสำคัญกับพิธีบูชาบรรพบุรุษ โดยเฉพาะตระกูลใหญ่ที่มีประวัติยาวนานอย่างตระกูลเย่ ความเป็นมาของตระกูลลึกซึ้ง ตระกูลได้แตกแขนงออกไปมากมาย จึงยิ่งให้ความสำคัญกับพิธีบูชาบรรพบุรุษ

ความจริงแล้ว ตระกูลร่ำรวยมากมาย ต่างก็ยากจะจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษให้ใหญ่โต แต่ทว่าพิธีบูชาบรรพบุรุษที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ว่าตระกูลธรรมดาก็จะสามารถจัดการได้

มีตระกูลที่เกิดขึ้นใหม่หลายตระกูล คิดอยากจะจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษแต่ก็ไม่สามารถแบกรับได้

เพราะว่าในสุสานบรรพบุรุษของคนพวกนั้น อาจจะมีเพียงร่างของบรรพบุรุษของสามสี่รุ่นก่อนหน้านั้นฝังอยู่ นากจากนี้เมื่อพูดถึงฐานะของพวกเขา บางทีคนรุ่นก่อน ๆ อาจเป็นชาวนา ไม่มีเรื่องราวยิ่งใหญ่อะไรให้คนรุ่นหลังยกย่องสรรเสริญ

แม้ว่าชนชั้นชาวนาก็ควรค่าแก่การเคารพเช่นกัน แต่ในสังคมชนชั้นสูงเหล่านี้ บรรพบุรุษไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเพียงพอ ก็ไม่สามารถที่จะเอาออกมาโชว์ได้จริง ๆ

โดยเฉพาะในสังคมชนชั้นสูงของเย่นจิง

นอกจากจะแข่งความร่ำรวย แข่งอิทธิพลแล้ว ก็ยังแข่งขันเกี่ยวกับฐานะสังคมและภูมิหลังอีกด้วย

อยู่ที่เย่นจิงยังมีลูกหลานที่อยู่ในแปดกองธงของราชวงศ์ชิงอยู่ไม่น้อย บรรพบุรุษของตระกูลเหล่านี้ตอนที่อยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง ล้วนอยู่ในแปดกองธงของชนชั้นสูง ถ้าไม่ใช่คุณชาย ก็เป็นคุณหนู มีแม้กระทั่งขุนนางอาวุโสระดับหนึ่งของราชวงศ์ในสมัยนั้น

ตระกูลเช่นนี้ ภูมิหลังแข็งแกร่ง เมื่อจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษ ก็จะสามารถนำเรื่องราวของบรรพบุรุษสองสามท่านออกมาเล่าได้ และให้ความรู้สึกยกย่องสรรเสริญกับผู้คนทันที

บรรพบุรุษของตระกูลเย่ เองก็เป็นขุนนางในราชสำนัก ตระกูลธรรมดาทั่วไป มีบรรพบุรุษเป็นเพียงบัณฑิตยังแทบอยากจะสร้างศาลบรรพชนไว้ที่บ้านเกิดให้บัณฑิตท่านั้น แต่ตระกูลเย่ แค่บรรพบุรุษที่เป็นบัณฑิตขั้นสูงก็มีนับร้อยท่าน บัณฑิตตำแหน่งจ้อหงวนมีสิบท่าน รวมจ้อหงวนสามอันดับแรกแล้ว เป็นทั้งหมดสิบสามท่าน

ราชวงศ์ชิงมีประวัติศาสตร์เกือบสามร้อยปี มีการเปิดสอบขุนนางเพื่อคัดเลือกขุนนางอยู่ทั้งหมด 112 ครั้ง

ภายในระยะเวลาเกือบสามร้อยปี มีบัณฑิตขั้นสูงทั้งหมดสองพันกว่าท่าน บัณฑิตตำแหน่งจ้อหงวน114ท่าน

แค่ตระกูลเย่ ก็ได้ยืนไปหนึ่งในสิบส่วน นับเป็นผลงานความสำเร็จอันน่าทึ่งอย่างยิ่ง

ก็เพราะว่าในบรรพบุรุษของตระกูลเย่มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นในทุก ๆ รุ่น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตระกูลเย่สามารถดำรงอยู่มาได้หลายร้อยปี อีกทั้งยังมีอิทธิพลมาโดยตลอด ต่อให้อยู่ในยุคสมัยสงคราม อย่างน้อยก็เป็นคหบดีที่มีอิทธิพลที่ที่แห่งหนึ่ง

ตระกูลเย่แตกแขนงมาเป็นเวลาหลายปี แค่ทายาทของตระกูลเย่ที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมโลก ก็มีไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ในนั้นยังมีบางส่วนที่ไปอยู่ต่างประเทศ

บรรพบุรุษของพวกเขา นับย้อนไปหลายร้อยปี ก็คือบรรพบุรุษของตระกูลเย่

เพียงแค่ในสมัยโบราณนั้นพิถีพิถันในเรื่องว่าให้ลูกชายคนโตของภรรยาหลวงเป็นคนสืบทอดตระกูล ส่วนลูกชายของภรรยาหลวงคนอื่น ๆ และลูกชายของภรรยาลอง จะต้องแยกออกไปตั้งเนื้อตั้งตัว ดังนั้นจึงได้มีตระกูลย่อยของตระกูลเย่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มีเพียงสายเลือดโดยตรงเท่านั้นถึงเป็นตระกูลหลักที่แท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นคุณพ่อของเย่เฉินมีพี่น้องสามคน ถ้าพูดตามกฎของสมัยโบราณ หลังจากที่คุณปู่ของเย่เฉินเสียชีวิตไป บุตรชายทั้งสามคนของตระกูลเย่ก็ต้องแยกบ้านออกไป พอถึงเวลานั้น ก็จะมีเย่ฉางโคงลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดธุรกิจส่วนใหญ่และคฤหาสน์ของตระกูลเย่ต่อไป

ลูกชายคนที่สอง และลูกชายคนที่สาม เมื่อไว้ทุกข์ครบสามปีแล้ว ก็จะต้องพาสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาย้ายออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ และสร้างครอบครัวด้วยตัวเอง

เมื่อเป็นเช่นนั้น ครอบครัวของลูกชายคนที่สองและลูกชายคนที่สาม ก็จะกลายเป็นตระกูลย่อยของตระกูลเย่

พอถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลย่อยทั้งสองครอบครัว และตระกูลหลักก็ยังคงใกล้ชิดอยู่ เพราะถึงยังไง ลูกชายคนที่สอง ลูกชายคนที่สามและลูกชายคนโตก็ยังเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

แต่พอมาถึงรุ่นเย่เฉิน คนที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลหลัก คือพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเย่เฉิน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลย่อยทั้งสองครอบครัวและตระกูลหลักจึงได้ห่างออกไปอีกรุ่น

พอมาถึงรุ่นที่สาม รุ่นที่สี่ ตระกูลย่อยทั้งสองครอบครัวนี้ ก็จะมีอนุพันธ์ตระกูลย่อยที่แตกแขนงออกไปอีก ดังนั้นพวกเขาจึงห่างจากตระกูลหลักออกไปอีก

ถ้าหากดำรงมาอยู่ได้ห้าหกรุ่น ช่วงเวลาอาจจะผ่านไปเป็นร้อยปีแล้ว

พอถึงตอนนั้นทุกคนอาจจะไม่รู้จักกันเลยก็ได้ ทำได้เพียงอาศัยลำดับวงศ์ตระกูล ถึงจะสามารถหาชื่อของลูกหลานตระกูลย่อยนั้น ๆ ได้