โหวเทียนสิงไม่กล้าเล่นลูกไม้อีกแม้แต่นิด บอกเล่าสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมดให้หลินสวินฟัง
“แค้นข้าไหม” หลินสวินถาม
โหวเทียนสิงผมเผ้ารุงรัง กล่าวอย่างขมขื่น “กล้าที่ไหน”
หลินสวินกล่าวเสียงเรียบ “แค้นก็ไม่มีประโยชน์ หากเปลี่ยนเป็นวันนี้พวกเราพ่ายแพ้ พวกเจ้า… จะปล่อยพวกเราไปหรือ”
โหวเทียนสิงสีหน้าเฉยชา จิตใจเศร้าโศกเกินทนจนด้านชา นี่ก็คือความรู้สึกของเขาในตอนนี้
“ทำตัวให้ดีเล่า”
จนกระทั่งต้าหวงกลับมาพร้อมของดีเป็นกอบเป็นกำ หลินสวินจึงทิ้งท้ายประโยคนี้เอาไว้ ก่อนพาพวกซย่าจื้อ ซี ต้าหวงจากไปพร้อมกัน
จนกระทั่งเงาร่างของพวกเขาหายลับไป คราวนี้โหวเทียนสิงจึงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน มหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์พวกนี้… กลับไม่ได้สังหารจนหมดสิ้นหรือ
สิ่งนี้ทำให้เขาสิ้นท่า ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เป็นเวลานาน
…
“เหตุใดถึงไม่ฆ่าทิ้งให้หมดเสีย”
ระหว่างทางต้าหวงอดเอ่ยถามไม่ได้
“พวกเขาเป็นภัยคุกคามหรือ” หลินสวินถาม
“ไม่ใช่” ต้าหวงส่ายหน้า “ถึงขั้นที่ไม่มีโอกาสแก้แค้นด้วยซ้ำ”
การเดินทางครั้งนี้ สุดท้ายก็เป็นเพียงทางผ่าน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในแดนเจินหลงตลอดไป
“คนบางคนสมควรตาย บางคนกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าหลินสวินฝึกปราณมาจนบัดนี้ ก็ไม่เคยคิดจะกลายเป็นคนที่ฆ่าไม่เลือกหน้า”
หลินสวินกล่าวพลาง จู่ๆ ก็นึกถึงชายหนุ่มจักจั่นทองขึ้นมา ฝ่ายหลังเคยตั้งปณิธาน หวังว่าสรรพชีวิตใต้หล้าล้วนกลายเป็นอริยะในสักวันหนึ่ง!
นี่เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ปานใด
เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีที่ใช้การเข่นฆ่านองเลือดไปสังหารพวกคนบริสุทธิ์ นั่นต่างอะไรจากพวกชั่วร้ายที่ตนรังเกียจกันเล่า
“หากทั่วหล้ามีแต่ศัตรูจะทำอย่างไรเล่า” จู่ๆ ต้าหวงก็เอ่ยถาม
“เช่นนั้นข้าก็จะเสาะหาเส้นทางที่ทั่วหล้าไร้ศัตรู” หลินสวินยิ้ม
ต้าหวงหัวเราะหยัน “ทั่วหล้าไร้ศัตรู? ทอดสายตาไปทั้งบนล่างทั่วหล้าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บนมหามรรคนี้ใครกล้าเรียกตัวเองว่าไร้ศัตรูอย่างแท้จริงบ้าง”
หลินสวินกล่าวเนิบนาบ “เมื่อก่อนไม่มี แต่หากในอนาคตมีเล่า”
ต้าหวงระเบิดหัวเราะดังลั่น เห็นได้ชัดว่าไม่เก็บคำพูดของหลินสวินมาคิดเป็นจริงเป็นจัง
ซีกลับมองหลินสวินปราดหนึ่งอย่างคล้ายขบคิด เขาซึ่งมีรากฐานพลังยอดหนทางสู่อมตะ บางทีอาจเป็นไปได้จริงๆ ก็ได้
ซย่าจื้อคอยอยู่เคียงข้างหลินสวินตลอดเวลา ขอเพียงอยู่ข้างกายหลินสวิน นางก็จะสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“ต่อไปพวกเราจะไปไหน” ต้าหวงถาม
“ทะเลตะวันออก”
…
หนึ่งวันต่อมา ข่าวที่เผ่าจักรพรรดิเจินโห่วประสบเคราะห์ใหญ่กระจายออกไป ทำเอาหมื่นเผ่าต่างหวาดกลัว สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนล้วนสั่นสะท้านเพราะเรื่องนี้
สิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าในแดนเจินหลงนี้รู้สึกน่าเหลือเชื่อจริงๆ ก็คือ คราวเคราะห์ที่เกือบจะเหยียบเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วจนราบครั้งนี้ คล้ายว่าจะเป็นฝีมือของมหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์!
แต่ไม่ว่าจะสืบข่าวอย่างไร เผ่าจักรพรรดิเจินโห่วก็ไม่เคยหลุดความจริงออกไปแม้แต่เสี้ยว
สิบวันต่อมา
ทะเลตะวันออก
ทะเลมรกตดั่งชะล้าง เกลียวคลื่นพลิดม้วน มองไปได้สุดสายตา
ในแดนเจินหลง ทะเลตะวันออกยังเป็นอาณาเขตที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่ง เปรียบได้กับแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิง
สาเหตุก็เพราะ เผ่าเจินหลงนายเหนือหัวของแดนเจินหลงตั้งถิ่นพำนักอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันออกแห่งนี้!
ทะเลตะวันออกกว้างใหญ่ยิ่งยวด ดุจดั่งอาณาจักรมหาสมุทรที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแถบหนึ่ง ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตมากมายหลากหลายอาศัยอยู่
ภายในมีเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ที่พึ่งพาอาศัยเผ่าเจินหลง ขุมอำนาจแกร่งกล้าเป็นที่สุด พวกเขาถูกมองเป็นเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ขุมอำนาจใต้อาณัติเผ่าเจินหลง!
ริมฝั่งทะเลตะวันออก บนเขตชายฝั่งที่ทอดยาวนั้นมีท่าเรือและเมืองนับหมื่นแห่งแหระจายตัวอยู่ ดูประหนึ่งไข่มุกลูกแล้วลูกเล่าเรียงรายอยู่บนชายฝั่ง
เมืองเมฆเอื่อย
หนึ่งในเมืองของริมฝั่งทะเลตะวันออก ยามแรกอรุณ ท่าเรือเมืองเมฆเอื่อย
เงาร่างมากมายรอคอยอยู่ที่ท่าเรือนานแล้ว
บนผิวทะเลที่อยู่ไม่ไกลนักมีเรือสมบัติมหึมาของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ ดุจดั่งผืนดินที่ลอยอยู่ก็ไม่ปาน ถึงขั้นเทียบได้กับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เรือสมบัติลำนี้จะไปยัง ‘เกาะเทพรุ้งมรกต’ ในทะเลตะวันออก ที่นั่นเป็นหมู่เกาะที่เผ่าจักรพรรดิปี้อั้นปกครองอยู่ มีชื่อเรื่อง ‘การค้ารุ่งเรือง เฟื่องฟูมั่งคั่ง’
ทุกวันๆ สิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าที่มาจากเหนือใต้ออกตกล้วนจะหอบของล้ำค่าสมบัติประหลาด ทรัพยากรฝึกปราณต่างๆ นานา มุ่งหน้าไปทำการค้าและแลกเปลี่ยนที่เกาะเทพรุ้งมรกต
ดังนั้นเกาะเทพรุ้งมรกตจึงเลื่องชื่อในฐานะที่เป็นดินแดนแห่ง ‘การค้าหมื่นเผ่า’
หลินสวินจ่ายไปสามพันเหรียญเจินหลง ได้รับป้ายคำสั่งขึ้นเรืออันหนึ่ง ก่อนเดินตามฝูงชนขึ้นไปบนเรือสมบัติมหึมาลำนั้น
บนเรือสมบัติ ราคาที่จ่ายแตกต่างกัน เรือนพักที่จัดเตรียมให้แขกก็จะแตกต่างกัน แดนมงคลชั้นยอดส่วนหนึ่งถึงขั้นยังต้องจองล่วงหน้า
ตอนที่หลินสวินซื้อป้ายคำสั่งขึ้นเรือ ก็เหลือแต่ห้องที่ธรรมดาที่สุด ตั้งอยู่ในตำแหน่งล่างสุดของเรือสมบัติ
สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ
เขาในเวลานี้แม้ยังคงมีรูปร่างหน้าตาแบบเดิม แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมารอบกาย กลับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสิ่งมีชีวิตเผ่าวิญญาณเมฆา
ส่วนต้าหวง ซย่าจื้อและซี ล้วนถูกเขาจัดแจงให้ไปอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุด ทำเช่นนี้จะได้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว
เผ่าวิญญาณเมฆาเป็นเผ่าที่อยู่ใต้ปกครองของเผ่าจักรพรรดิเจินโห่ว เชี่ยวชาญเรื่องทำการค้าขายโดยกำเนิด
แต่หลินสวินมุ่งหน้าไปเกาะเทพรุ้งมรกตครั้งนี้ หาใช่มาเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า หากแต่จะไปติดต่อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่ออันเสวี่ยของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้น
ติดต่อผ่านอันเสวี่ย ก็จะสามารถเข้าถึงเผ่าเจินหลงได้
หลินสวินเดินเข้าห้องตัวเองแล้วนั่งลงเริ่มทำสมาธิ ทว่าจู่ๆ ห้องข้างๆ ก็มีเสียงร้องไห้ดัอ่อนเยาว์งลอยมาระลอกหนึ่ง
และเป็นเสียงเข้มขรึมสายหนึ่งตวาดลั่นตามติดๆ “หุบปาก!”
จากนั้นก็เงียบกริบไปทั้งแถบ
ชั้นล่างสุดของเรือสมบัติลำนี้แบ่งออกเป็นห้องมากมายแน่นขนัด ถึงแม้จะอยู่ติดกัน แต่ระหว่างห้องแต่ละห้องล้วนปิดครอบด้วยกระบวนผนึก สามารถกั้นการจับจ้องของจิตรับรู้ได้
ดังคาด ห้องถัดไปเปิดใช้งานกระบวนผนึก ตัดขาดเสียงที่อยู่ในนั้นแล้ว
เพียงแต่สำหรับคนระดับหลินสวินแล้ว กระบวนผนึกแค่นี้ก็เหมือนของตกแต่งปลอมๆ อย่างหนึ่ง ในจิตรับรู้ของเขา ไม่นานก็มองเห็น
ในห้องถัดไป ชายหน้าตาอัปลักษณ์มีขนสีเทางอกเต็มตัวสองคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง
บนโต๊ะไม้ แม่นางน้อยที่วัยเพิ่งสิบปีเศษคนหนึ่งถูกมัดสองแขนสองขา อาภรณ์ขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง สกปรกมอมแมม ในดวงตากลมโตรื้นหยาดน้ำตาและความเจ็บปวด
นางร้องตะโกนลั่น แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่เสี้ยว
ชายผอมแห้งหนึ่งในนั้นถือมีดสีเงิน ปลายมีดวัววาวแหวกเปิดบริเวณอกของเด็กสาว เลือดสดแดงฉานพลันไหลหลั่งออกมาทันที
ชายอ้วนเตี้ยอีกคนหนึ่งถือชามกระเบื้องไว้ รองรับเลือดสดเหล่านี้ สายตาเจือแววละโมบ เลียริมฝีปากกล่าวว่า “ระวังหน่อย อย่าให้ถึงตายเชียว เลือดหัวใจของเด็กสาวเผ่ามนุษย์เป็นของรสชาติโอชะชั้นหนึ่งในโลกเชียว”
ชายผอมแห้งหัวเราะเจ้าเล่ห์ “วางใจเถอะ เด็กสาวเช่นนี้ ส่งไปเกาะเทพรุ้งมรกตสามารขายได้ถึงสามพันเหรียญเจินหลง ข้าย่อมทำนางตายไม่ได้แน่”
กล่าวพลางเขาหยิบลูกกลอนโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง ลูบไปบนปากแผลของเด็กสาว จากนั้นก็หิ้วนางขึ้นมาแล้วโยนไปมุมห้อง
ชายอ้วนเตี้ยแบ่งเลือดสดในชามเป็นสองส่วน ยื่นให้ชายผอมแห้ง “มา เจ้ากับข้าร่วมดื่มเลือดหัวใจเด็กสาวคนนี้ อวยพรให้ครั้งนี้พวกเรามั่งคั่งร่ำรวย!”
และในเวลานี้เองประตูห้องก็เปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง มีหญิงทรงเสน่ห์ในชุดผ้าโปร่งบางสีดำ รูปร่างอ้อนแอ้น ผิวขาวราวกับหิมะคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พวกเจ้าช่างกล้านัก ถึงขั้นกล้าขโมยดื่มเลือด ไม่กลัวถูกพี่ใหญ่รู้เข้าแล้วจับพวกเจ้าโยนลงกลางทะเลตะวันออกเป็นอาหารปลาหรือ”
หญิงสาวเยือกเย็นยิ่งยวด น้ำเสียงหวานสะกดใจคน แม้จะพูดเช่นนี้แต่กลับยื่นมือไปแย่งชามกระเบื้องในมือสองคนนั้น แล้วดื่มเลือดสดในนั้นหมดรวดเดียว
ชายผอมแห้งกับชายอ้วนเตี้ยสบตากัน ต่างถอนหายใจโล่งอก
“ยังมีอีกหรือไม่” หญิงสาวเลียริมฝีปากเรื่อแดงเบาๆ อย่างติดใจ นางสวมผ้าโปร่งสีดำ บริเวณอกเผยให้เห็นความอวบอิ่มขาวกระจ่าง แววตาพราวระยับ ทำเอาสองคนนั้นมองด้วยสายตาร้อนเร่า
“มีๆๆ พี่เม่ยรอประเดี๋ยว” ชายผอมแห้งกล่าวพลางเปิดถุงสมบัติใบหนึ่ง คว้าตัวคนห้าหกคนออกมาอย่างคล่องแคล่ว
ล้วนเป็นเด็กสาวเผ่ามนุษย์ อายุน้อยสุดแค่แปดเก้าปี มากสุดเพิ่งจะสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ดวงหน้าเนียนอ่อนเยาว์ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สกปรกมอมแมม
พวกนางเหมือนผ่านการทรมานมามาก ผิวหนังทั่วตัวฟกช้ำ สีหน้าเฉยเมย แววตาเปี่ยมด้วยความสะพรึงกลัวและหวาดหวั่น เหมือนลูกแพะที่รอถูกเชือดฝูงหนึ่ง
เงาตะเกียงสีเหลืองสลัวรางกระทบบนร่างที่ผอมโซของพวกนาง ดูอ่อนแอและน่าเวทนาปานนั้น
นัยน์ตาของหญิงทรงเสน่ห์เป็นประกายเหมือนกำลังเลือกเหยื่อ ชี้ไปยังเด็กหญิงที่อายุน้อยที่สุดในนั้น กล่าวว่า “นางก็แล้วกัน”
เด็กหญิงตัวน้อยตัดผมหน้าม้า ดวงตากลมโตยิ่ง ท่าทางเพิ่งจะแปดเก้าขวบ ไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจอกับอะไร
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ถามด้วยอาการเจือความหวัง “พี่สาว ท่านจะซื้อข้าออกไปหรือ อย่าเห็นว่าข้าอายุน้อย แต่ปลูกดอกไม้เก็บเกี่ยวยาสมุนไพรเป็นนะ ต่อไปเมื่อโตขึ้นจะต้องเป็นทาสที่ดีคนหนึ่งแน่นอน”
หญิงทรงเสน่ห์และชายสองคนนั้นต่างอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ พวกต่ำต้อยอย่างเผ่ามนุษย์นี้ รู้ว่าตัวเองเป็นสินค้าตั้งแต่เด็กๆ ปล่อยให้เลือกสรรคอย่างไรก็ได้แล้วหรือ
น่าสนใจ!
“เด็กดี พี่สาวแค่กระหายน้ำ”
หญิงทรงเสน่ห์เอื้อมมือออกมา แหวกเปิดบริเวณอกของเด็กหญิงคนนั้นออก “รอเดี๋ยวนะ ข้าอยากดื่มเลือดตรงนี้ของเจ้าหน่อย เจ้าห้ามร้องไห้เชียว”
ดื่มเลือด!
เด็กหญิงตัวน้อยสีหน้าซีดขาว นัยน์ตาผุดแววหวาดกลัวขึ้นมาทันที หยาดน้ำตาคลอเบ้ากล่าวว่า “พี่สาว อย่าดื่มเลือดข้าได้หรือไม่…”
เสียงตุบดังคราหนึ่ง นางคุกเข่าลงตรงนั้น
เด็กสาวคนอื่นๆ ต่างก็สั่นไปทั้งตัว คุกเข่าลงกับพื้น แต่ละคนสีหน้าเต็มไปด้วยแววไม่สงบ ตัวสั่นเทิ้ม
“ในฐานะเผ่ามนุษย์ มีบาปเก่าติดตัวมาแต่กำเนิด จะเป็นทาสก็ได้เป็นสินค้าก็ได้ หรือจะเป็นของกินก็ได้ เข้าใจหรือไม่”
หญิงทรงเสน่ห์ยิ้มกล่าว “หากไม่ตกลงก็ต้องตาย พ่อแม่พวกเจ้าไม่ได้บอกพวกเจ้าเลยหรือว่าหากพวกเจ้าตายกันหมด จำนวนของเผ่ามนุษย์ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ต่อไปไม่แน่ว่าอาจถึงคราวสูญพันธุ์ก็ได้”
“พี่เม่ย แค่พวกเด็กสวะเท่านั้น พูดเรื่องพวกนี้กับพวกนางทำไม”
ชายผอมแห้งกล่าวพลางหิ้วเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุแปดเก้าขวบคนนั้นขึ้น กดนางลงกับโต๊ะ พันธนาการสองมือสองเท้าไว้ การกระทำดิบเถื่อนหยาบกร้าน ไม่ว่าเด็กหญิงคนนั้นจะร้องไห้เสียงดังอย่างไรล้วนไม่เป็นผล
ชิ้ง!
เขาถือมีดสีเงินขาวหิมะจ่อไปยังตำแหน่งหน้าอกของเด็กหญิงตัวน้อย “เจ้าตัวน้อยนี่อายุน้อยเกินไป เอาเลือดออกมามากไปไม่ได้ พี่เม่ยเลือกตำแหน่งมาเถอะ”
หญิงทรงเสน่ห์ครุ่นคิดแล้วกล่าว “หากข้าอยากชิมขั้วหัวใจของเด็กนี่สักหน่อยล่ะ”
ชายผอมแห้งกล่าวอย่างลำบากใจ “แบบนี้นางก็ต้องตายนะ คนตายไม่ได้ราคาที่สุด ต่อให้กรีดเฉือนนางเป็นเนื้อ อย่างมากก็ได้ราคาแค่ร้อยเหรียญเจินหลง…”
นี่ประหนึ่งคนฆ่าสัตว์หน้าแผงขายเนื้อ มองเด็กหญิงตัวน้อยเป็นเดรัจฉาน
“ไม่ได้หรือ” หญิงทรงเสน่ห์ขมวดคิ้ว
“ในเมื่อพี่เม่ยเอ่ยปากว่าอยากลองยังต้องพูดมากความอะไรอีก รีบลงมือเร็วเข้า!” ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่ข้างๆ เร่งรัด
ชายผอมแห้งถอนใจเบาๆ ยกมีดสีเงินขึ้น สายตาจับจ้องหน้าอกของเด็กหญิงตัวน้อย
เด็กหญิงคนอื่นๆ เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างตกใจจนหลับตาปี๋ ร่างสั่นเทิ้มรุนแรง บางส่วนถึงกับร้องไห้ออกมา