ครั้งก่อนตอนที่อยู่ญี่ปุ่น เขาเคยช่วยเหลือซูจือเฟยกับซือจือหยูเอาไว้ เดิมคิดว่าแค่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเอาไว้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกของศัตรู หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นเขาเองก็รู้สึกหดหู่ใจมาก

คิดไม่ถึง ทั้งสองคนนี้จะวิ่งมาหาถึงบ้านของกู้เย้นจง

หรือว่า ตระกูลซูคิดจะดึงตระกูลกู้เข้าไปเป็นพรรคพวกด้วย

แต่ว่า เย่เฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไรในวิดีโอคอล เพราะว่า กู้เย้นจงก็ไม่รู้ว่าตนเองได้ประสบพบเจอเรื่องราวอะไรบ้างในญี่ปุ่น

ตอนนี้เอง น้องรองของตระกูลกู้ก็คือกู้เย้นเจิ้งพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ คนรุ่นหลังของตระกูลซูมาส่งของขวัญทำไม อันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตระกูลซูพบเจอตอนที่อยู่ญี่ปุ่นก่อนหน้านี้มั้ง ช่วงนี้ ตระกูลซูเสียหายอย่างมากจริงๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะมีความคิดที่จะดึงตระกูลอื่นๆเข้าร่วมด้วย”

กู้เย้นจงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ทั้งเย่นจิง ที่ไม่เข้าตาฉันที่สุด ก็คือซูโสว่เต้าคนนั้น เป็นไอ้สารเลวตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนั้นพันธมิตรต่อต้านตระกูลเย่ที่เล่นงานพี่เย่ ก็มีเขาคอยยุแยง เศษสวะที่ลอบทำร้ายคนอื่น”

หลินหว่านชิวที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นมาบ้าง “ไม่เข้าตาก็ส่วนเรื่องไม่เข้าตา แต่โบราณท่านว่าไว้มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนคนที่ส่งยิ้มให้ ยิ่งตอนนี้คนที่มาเป็นลูกชายหญิงสองคนของซูโสว่เต้า คุณก็อย่าส่งต่อความแค้นที่สั่งสมมาไปยังคนรุ่นหลังเลย ถ้าหากเรื่องนี้ถูกพูดออกไป จะไม่กลายเป็นที่หัวเราะเยาะเหรอ”

กู้เย้นจงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าพูดว่า “เอาเถอะ ดูสิว่าพวกเขามีอะไรแอบแฝงกันแน่”

พูดจบแล้ว เขาก็พูดกับเย่เฉินว่า “เฉินเอ๋อ คนตระกูลซูมาส่งของขวัญ ฉันต้องไปต้อนรับสักหน่อย”

เย่เฉินพยักหน้า พูดว่า “ครับคุณลุงกู้ ลุงไปเถอะ ผมขออวยพรล่วงหน้าขอให้ครอบครัวคุณลุงมีความสุขในวันขึ้นปีใหม่”

กู้เย้นจงหัวเราะเหอะเหอะพยักหน้าติดๆกัน “มีความสุข มีความสุข หลายปีมานี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่เคยจะมีความสุขเท่าวันนี้มาก่อนเลย”

พูดแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ ถ้าหากเฉินเอ๋อสามารถอยู่ร่วมเทศกาลปีใหม่ที่เย่นจิงก็ดีสินะ ถ้าหากพวกเราทั้งครอบครัวสี่คนได้อยู่กันพร้อมหน้าในวันปีใหม่ มันดีเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ถึงตอนนั้นฉันจะปิดประตูบ้าน ซึมซับความสุขของการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แม้ว่าพระเจ้าจะมาเคาะประตู ฉันก็จะไม่ออกไปเจอเด็ดขาด”

เย่เฉินรู้ดี กู้เย้นจงกับภรรยาของเขา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะกลายเป็นลูกเขยของพวกเขา ที่จริงพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว ก็คงจะหวังอย่างนี้เหมือนกัน

แต่ว่า เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะหย่ากับเซียวชูหรันเลยสักนิด ฉะนั้นตอนนี้เวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกู้เย้นจงอย่างไรดี

ตอนนี้เอง หลินหว่านชิวก็ออกมาพูดไกล่เกลี่ยว่า “พอแล้ว พอแล้ว เฉินเอ๋อเองเขาก็คงคิดไว้แล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีความหวังของคุณก็คงจะสมหวังแล้ว ตอนนี้จะร้อนใจไปทำไม”

กู้เย้นจงพยักหน้า “ไม่รีบไม่รีบ สิ่งดีๆคุ้มค่าแก่การรอคอยเสมอ รอมาตั้งหลายปีแล้ว อีกแค่สามปีไม่เป็นไรรอได้”

พูดจบแล้ว เขาก็หันมาพูดกับเย่เฉิน “เฉินเอ๋อ ลุงต้องหยุดคุยกับหลานก่อนนะ วันหลังค่อยคุยกันใหม่ ลุงเองก็ขออวยพรให้หลานมีความสุขในวันปีใหม่”

เย่เฉินรีบพูดขึ้นว่า “ขอบคุณคุณลุงกู้”

กู้ชิวอี๋ก็พูดขึ้นตอนนี้ว่า “พ่อ แม่ พวกท่านไปเถอะ หนูจะคุยกับพี่เยาเฉินอีกสักหน่อย”

กู้เย้นจงพูดว่า “แกก็ไปพร้อมกันดีกว่า ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคนรุ่นหลังของตระกูลซู พวกแกรู้จักกันไม่ใช่เหรอ แกช่วยพ่อทักทายถามสารทุกข์สุกดิบแทนพ่อหน่อย จากนั้นก็หาข้ออ้างส่งแขกซะ”

กู้ชิวอี๋พูดอย่างจนใจ “งั้นก็ได้”

พูดจบ กู้ชิวอี๋ก็พูดกับเย่เฉินว่า “พี่เยาเฉิน ถ้าอย่างนั้นฉันจะวางสายแล้วนะ”

เย่เฉินพยักหน้ายิ้มๆ “ได้ เธอไปยุ่งเถอะ”

ณเวลานี้ ในห้องโถงของเรืองนประสานแห่งตระกูลกู้

บุคคลที่มีความสามารถอย่างซูจือเฟย และคนที่ดูบริสุทธิ์สูงส่งอย่างซูจือหยูต่างก็นั่งรออยู่บนโซฟาไม้จื่อถาน

คนรับใช้ของตระกูลกู้หลังจากส่งน้ำชาแล้วก็ขอตัวออกไปก่อน ตอนนี้ในห้องโถงมีพวกเขาแค่สองคนเป็นการชั่วคราว

ซูจือหยูเห็นซูจือเฟยมีท่าทีตื่นเต้นอยู่บ้าง ก็กระซิบตำหนิที่ข้างหูว่า “พี่ อีกเดี๋ยวถ้าเจอหน้าสาวที่พี่ชอบแล้ว พี่อย่าแสดงท่าทีตื่นเต้นจนออกนอกหน้าล่ะ ”