โลกภายนอกแปรปรวน คลื่นลูกใหญ่ซัดโหมรุนแรง

หลินสวินไม่รับรู้ถึงเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง

ริมบ่อมังกร เขานั่งสมาธิจดจ่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

การเข้าแดนเจินหลงคราวนี้ผ่านไปสองปีเศษแล้ว

นึกย้อนไปถึงตอนแรก เขากำราบเผ่าจักรพรรดิเจินโห่ว ทะยานบนทะเลตะวันออก ได้วารีแรกปฐมจากเกาะเทพรุ้งมรกต มองทะลุปริศนาของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร

จากนั้นก็แทรกซึมเข้าแดนวังมังกร ช่วยอ๋าวเจิ้นเทียนออกมาจากเขาผนึกฟ้า ได้รู้เรื่องภายในงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกร ดังนั้นจึงบุกตะลุยสังหาร บุกเข้าวังมหามรรคหมื่นมังกร…

ใต้ทะเลตะวันออกเก้าพันจั้ง เขาอนุมานศิลามรรคค้ำสมุทรสี่สิบเก้าหลัก เมื่อทะลวงปราการใจจักรพรรดิ บรรลุระดับจักรพรรดิขั้นสาม ทำให้วิชาสลักลายมรรคของตนแปรเปลี่ยนพัฒนาฉับพลัน…

กระทั่งตอนนี้บุกเข้ามาในแดนวังมังกรอีกครั้ง เหตุพลิกผันระหว่างทาง ความอันตรายของสถานการณ์ ความพิสดารในการต่อสู้ เรียกได้ว่าสะท้านวิญญาณ

แต่ยังดีที่ทั้งหมดได้ปิดฉากลงแล้ว

เหยี่ยนซิงตายแล้ว เศษเสี้ยววิญญาณจักรพรรดิไร้นามก็วอดวายไปแล้ว เท่ากับว่าภารกิจที่ศิษย์พี่รองจ้งชิวฝากไว้ก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์

อีกทั้งเขายังได้พบจ้าวจิ่งเซวียนแล้ว และสำหรับหลินสวิน ลูกในท้องจ้าวจิ่งเซวียนก็เป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

พอคิดว่าตัวเองจะเป็นพ่อคนแล้ว ใจหลินสวินก็ตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก รวมทั้งกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง

หลังจากเด็กคนนั้นถือกำเนิด จะเป็นชายหรือหญิง นิสัยจะเหมือนใคร รูปลักษณ์จะเป็นเช่นไร…

เป็นพ่อคนครั้งแรก สภาพจิตใจก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น

ซย่าจื้อนั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ มองดูรังมังกรสีทองในบ่อมังกรเป็นครั้งคราว และมองหลินสวินที่กำลังหลับตานั่งสมาธิเป็นพักๆ

แม้หลินสวินไม่ได้พูดอะไร แต่ซย่าจื้อสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าหลังได้เห็นรังมังกรสีทองนี้ สภาวะจิตของหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ซย่าจื้อไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกเช่นนั้น แต่นางรู้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนกับลูกในท้องมีตำแหน่งแห่งที่ที่สำคัญในใจหลินสวิน

“เจ้าชอบเด็กหรือ” จู่ๆ ซย่าจื้อก็เอ่ยปาก เสียงใสกระจ่าง

หลินสวินที่กำลังฟื้นฟูบาดแผลอยู่อึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ ตอนนี้ถึงสังเกตได้ว่าหลังมีลูก… จิตใจก็ไม่เหมือนเดิม”

ซย่าจื้อคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไม่ต้องการข้าหรือไม่”

ประโยคเดียวทำให้หลินสวินผงะไป ความรู้สึกชอบกลผุดขึ้นในใจเขา เพิ่งตระหนักได้ยามนี้ว่าตนเหมือนไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของซย่าจื้อมาก่อน

ตอนนี้นางถามเช่นนี้ เป็นเพราะในใจกังวลว่าหลังจากตนมีลูกกับจิ่งเซวียนแล้วจะไม่ทำดีต่อนางแล้วอย่างนั้นหรือ

ความรู้สึกผิดที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจหลินสวิน เขาจับจ้องซย่าจื้ออย่างจริงจัง เอ่ยว่า “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะออกไปจากโลกของข้า”

ซย่าจื้อร้องอืมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขอเพียงเจ้าไม่ไล่ข้าไป ข้าก็จะไม่จากไปไหน ไม่จากไปไหนตลอดชีวิต เพราะว่า…”

หลินสวินกล่าว “เพราะอะไรหรือ”

ซย่าจื้อเอ่ยเสียงเบา “ถ้าจากเจ้าไป โลกของข้าก็จะมีแต่ความมืดมิด มีชีวิตอยู่หรือตายไปก็เหมือนไม่มีความหมาย”

หลินสวินใจสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดที่ซย่าจื้อเคยพูดไว้เมื่อครั้งยังเยาว์บางส่วน

‘โลกของข้าเล็กนัก เล็กจนบรรจุเจ้าได้แค่คนเดียว’

‘หลินสวิน ก่อนได้พบกับเจ้า โลกของข้ามีแต่ความมืดมิด พอมีเจ้าแล้ว โลกของข้าถึงมีแสงสว่าง’

‘รับปากข้า ภายหน้าถ้าเจออันตรายอีก อย่ามาขวางหน้าข้าได้ไหม’

……

หลินสวินจิตใจพลิกม้วน ไม่อาจทนได้อีกต่อไปกอดซย่าจื้อไว้แน่น เอ่ยเสียงค่อยว่า “ข้าหลินสวินขอสาบาน ว่าชีวิตนี้จะไม่ให้เจ้าจากข้าไป ต่อให้ตายก็ไม่ยอม”

บนใบหน้างามล้ำที่ปิดบังอยู่ใต้หมวกม่านของซย่าจื้อมีรอยยิ้มเจิดจ้าจากใจปรากฏขึ้น ความงามอันผุดผาดเหนือโลกีย์ คล้ายภาพฝันมายานั้น สามารถทำให้ทั้งฟ้าดินอับแสงหมองศรี

นางไม่เคยเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ที่ต้องให้คนอื่นปกป้อง นางถึงกับแข็งแกร่งกว่าสตรีใดในใต้หล้า หาไม่แล้วคงไม่อาจกรำศึกเพียงลำพังในแดนมรณะเสื่อมโทรมนั้นได้

และความแข็งแกร่งทั้งหมด การต่อสู้ทั้งปวง ทุกสิ่งล้วนทำเพื่อหลินสวินเท่านั้น

เรื่องพวกนี้นางคร้านจะเอ่ยปากมาโดยตลอด

ก็เหมือนดั่งมหามรรคฟ้าดินนี้ ภูผาธาราหมื่นสรรพสิ่งนี้ สรรพชีวิตทั้งปวงนี้ นางไม่เคยสนใจ เพราะโลกของนางแต่ไหนแต่ไรมีหลินสวินเพียงคนเดียวมาตลอด

เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว

จู่ๆ ซย่าจื้อก็พูดเสียงเบา “หลินสวิน ข้าก็อยากมีลูก”

หลินสวินที่กอดร่างงามของซย่าจื้อไว้แน่นตัวแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนแปลงร้อยพันในทันใด ในใจเหมือนมีพันทัพหมื่นม้าทะยานผ่าน

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!?

เขางุนงงอยู่บ้าง ก้มหน้าลงมองดวงตาซย่าจื้ออย่างอดไม่ได้ แต่กลับเห็นว่าในดวงตางามกระจ่างดั่งดวงดาราของฝ่ายหลังมีแต่แววจริงจัง

นี่ทำให้เขางงงวยไปครู่หนึ่ง คงไม่ใช่ว่าซย่าจื้อถูกจิ่งเซวียนกระตุ้นใช่ไหม

ก็พบว่าดวงตาซย่าจื้อมีแววไม่เข้าใจและฉงนสงสัยฉายวาบ เอ่ยว่า “แต่ข้าไม่รู้ว่าจะมีลูกได้อย่างไร หรือต้องไปหารังมังกรแบบนี้มา”

เสียงประหนึ่งเสียงสวรรค์ บวกกับสีหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่องดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

ชั่วขณะเดียวหลินสวินก็ปรีดาแล้ว หัวเราะร่าเสียงดังอย่างอดไม่ได้ หัวเราะจนสุดท้ายจะหายใจติดขัดอยู่รอมร่อแล้ว

เขาเพิ่งรู้เอาตอนนี้ว่าซย่าจื้อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องชายหญิงเลย ประหนึ่งกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

“มีอะไรน่าขำหรือ”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ซีเดินมาจากไกลๆ เงาร่างอรชรมีละอองแสงไหลเวียน ดุจเซียนดั่งเทพ ยากจับต้องดั่งมายา

“ข้าอยากมีลูกสักคน ก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงหัวเราะจนเป็นเช่นนี้” ซย่าจื้อนิ่วหน้าเอ่ย

บรรยากาศพลันเงียบกริบ ก็พบว่าซีสีหน้าอึ้งงันไปครู่หนึ่งเช่นกัน คล้ายออกจะไม่ทันตั้งตัว

สักพักนางก็มองไปที่หลินสวินอย่างอดไม่ได้ เผยแววสอบสวนว่า “ทำไมเจ้ามาถกเรื่องส่วนตัวเช่นนี้กับนาง ไม่รู้สึกกระดากอายหรือไร”

หลินสวินยิ้มเจื่อน รีบร้อนอธิบายว่า “นี่ข้าไม่ใช่คนยกขึ้นมาจริงๆ นะ”

แต่สายตาซย่าจื้อมองที่ซีไปแล้ว “พี่สาว เจ้ารู้ไหมว่าจะมีลูกได้อย่างไร”

ซีมีชีวิตมาไม่รู้นานเท่าไร แต่พอเผชิญหน้ากับคำถามนี้เข้ายังรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวอยู่บ้าง นางอึ้งไปเช่นนั้น ไม่รู้ว่าควรจะตอบซย่าจื้ออย่างไรดี

นางย่อมรู้อยู่แล้ว แต่จะ… จะพูดออกมาต่อหน้าบุรุษเช่นหลินสวินได้อย่างไร

หลินสวินก็สังเกตเห็นความอึดอัดของซีเช่นกัน ในใจเบิกบาน หญิงที่เย็นชาราวหิมะ หยิ่งทระนงลึกลับผู้นี้ไม่เคยดูอึดอัดใจขนาดนี้มาก่อน

“เจ้าว่าน่าขันมากหรือ”

เนตรกระจ่างของซีดุจสายฟ้า จ้องหลินสวินด้วยแววตาน่ากลัว นางไม่มีทางตอบคำถามนี้ของซย่าจื้อ ทำได้แค่เปลี่ยนหัวข้อ หา ‘แพะรับบาป’

หลินสวินพลันรู้สึกไม่เข้าที ลุกขึ้นเอ่ยทันใด “พวกเจ้าคุยกันไปนะ ข้าไปดูต้าหวงสักหน่อย”

พอเสียงพูดดังขึ้น ตัวเขาก็หนีขวับไปไกลๆ แล้ว

ซย่าจื้อสีหน้ายิ่งงุนงง ดวงตากระจ่างดุจวารีมีแต่ความงงงวย “หรือมีลูกลึกลับเสียยิ่งกว่าหยั่งรู้มหามรรค”

ซี “…”

หน้างามของนางยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ไม่ต้องส่องคันฉ่องก็รู้ว่าหน้าตนต้องแดงแจ๋เหมือนประกายเพลิงแน่ๆ

แต่พอเห็นแววตาตั้งตาคอยการไขข้อกังขานั้นของซย่าจื้อ นางก็รู้ว่าคำถามนี้ต้องอธิบายให้เด็กสาวที่งดงามจนทำให้ตนรู้สึกกดดันคนนี้ดีๆ เสียหน่อยแล้ว

ใช่แล้ว ในสายตาซี ซย่าจื้อยังเป็นเด็กสาวจริงๆ

นางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยพูดอึกอัก กำกวมหาใดเทียบว่า “ซย่าจื้อ การให้กำเนิดลูกเป็นเรื่องส่วนตัวมาก จะต้อง… อืม พูดอย่างไรดีนะ… เจ้ารู้จักหยินหยางสอดประสาน พยัคฆ์มังกรเกลียวกลมไหม”

ซย่าจื้อพูด “ข้ารู้ แต่นี่เกี่ยวอะไรกับการมีลูก หรือยังต้องฝึกมหามรรคหยินหยางถึงจะมีลูกได้”

มุมปากซีกระตุกเกร็งอย่างยากสังเกตเห็นไปครู่หนึ่ง รู้สึกได้ว่าทั้งตัวนางกำลังว้าวุ่นอยู่บ้าง เด็กสาวคนนี้… ไม่รู้อะไรจริงๆ เลย..

ในเวลาต่อมาซีอดทนเป็นอย่างยิ่งในการพูดอุปมาต่างๆ ให้ซย่าจื้อฟัง แต่ฝ่ายหลังยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง คล้ายคิดว่าเรื่องมีลูกนี้ลึกลับและคลุมเครือมากไปอยู่บ้าง…

ในที่สุดซีก็ล้มเลิกแล้ว ไม่อาจอธิบายได้สักนิด แต่ในใจนางชังหลินสวินเสียจนกัดฟัน เจ้าหมอนี่ทำไมถึงมาพูดคุยเรื่องลับส่วนตัวเช่นนี้กับเด็กสาวที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเช่นนี้ได้

เดรัจฉานสวมอาภรณ์ชัดๆ!

“รอแม่นางจิ่งเซวียนผู้นั้นตื่นจากรังมังกร เจ้าก็ลองไปถามนางดู” ซีปัดเผือกร้อนให้พ้นตัวทันที

ซย่าจื้อกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ดวงตาเปล่งประกาย “จริงด้วย ถามพี่จิ่งเซวียนสักหน่อย นางมีลูกแล้วจะต้องรู้ดีที่สุดแน่”

ซีแววตาแปลกไป เอ่ยอย่างชอบกลว่า “กับแม่นางจิ่งเซวียนคนนั้น… เจ้าหึงหวงไหม หรือริษยารึเปล่า หรือโกรธเคืองหรือไม่”

ซย่าจื้อเอ่ยอย่างกังขาว่า “ริษยาหรือ โกรธเคืองหรือ ก็ไม่นะ นอกจากหลินสวินแล้ว บนโลกนี้ไม่มีใครมีค่าให้ข้าโกรธหรอก อีกอย่าง หึงหวงคืออะไรหรือ”

ซี “…”

นางเข้าใจได้สักทีว่าทำไมซย่าจื้อถึงยังอยู่ข้างกายหลินสวินมาได้ถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะใจคอกว้างขวางจนยอมให้หลินสวินไปอยู่กับหญิงอื่น แต่เพราะนาง… ไม่เข้าใจอะไรสักนิด!

“พี่ซี เจ้าจะหึงหวงไหม” ซย่าจื้อถาม

ซีผงะไป จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ว่า “บนโลกนี้มีชายคนไหนควรค่าให้ข้าหึงหวงเล่า”

“หลินสวินล่ะ” ซย่าจื้อถาม นางไม่รู้ว่าหึงหวงคืออะไร แต่อยากจะจับนัยของความหึงหวงจากการพูดคุยกับซี

“เขาหรือ”

ซีพ่นหัวเราะออกมา เสียงเย้าแหย่เอ่ยหยอกล้อว่า “ข้ามองดูเขาเติบโตขึ้นมากับตาตั้งแต่เขายังเยาว์ เจ้าว่าข้าจะไปหึงเจ้าคนแบบนี้ไหม”

พูดถึงตรงนี้ในใจนางก็ทอดถอนใจ ตนอยู่มานานนัก ได้เห็นการเติบโตของเจ้าตระกูลเสวียนเสวียนซั่งเฉิน ได้ประจักษ์ความสง่างามของลู่ป๋อหยา และเห็นการผงาดของหลินสวิน….

แต่เหมือนว่า…

ที่เข้าตาตนจริงๆ เหมือนจะมีแค่หลินสวินคนเดียว

นึกถึงอดีตต่างๆ นึกถึงภาพหลินสวินฝ่าด่านแต่ละด่านในห้องโถงมรรคาสวรรค์ แววตาของซีก็เหม่อลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

หลินสวินตรงหน้าไม่ใช่ ‘เจ้าหนูน้อย’ คนหนึ่งแล้ว เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่หาได้ยากยิ่งในอดีตกาลถึงปัจจุบัน บนมรรคายิ่งมีศักยภาพแฝงน่ากลัวชนิดไม่เป็นรองใคร

คนเช่นนี้ ในสายตาของสรรพชีวิตทั่วหล้าคือบุคคลที่สามารถโอหังเหนือโลกหล้า ประหนึ่งตำนานไปนานแล้ว

คิดถึงตรงนี้ก็สบสายตากังขานั้นของซย่าจื้อ ซีเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่ภายหน้าเจ้าต้องเข้าใจแน่ คนที่รักกันอย่างแท้จริงถึงจะรู้ว่าอะไรคือรสชาติของความหึงหวง”

ซย่าจื้อร้องอ้อ คล้ายเข้าใจแล้ว แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอะไรเหมือนกัน

ซีไม่ได้อธิบายอะไรอีก เรื่องแบบนี้ย่อมไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน

ในเวลาเดียวกัน หลินสวินมาหาต้าหวง

ต้าหวงเห็นหลินสวินก็พูดอย่างชอบใจว่า “เจ้าหนู ตอนนี้ขอเพียงเจ้าขอร้องข้า ข้าจะมอบศุภโชคใหญ่เท่าฟ้าให้ชิ้นหนึ่ง!”

——