กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นลอยคลุ้ง
บนยอดเขาหุบเหวโลหิตเหลือเพียงอวี้คุนจื่อคนเดียว
บรรยากาศกดดันและเงียบกริบ
หลินสวินไม่ได้ลงมือต่อ กล่าวว่า “ตอนนี้ข้าคนแซ่หลินก็จะให้เจ้าเลือกสองทางเหมือนกัน”
อวี้คุนจื่อสีหน้าเขียวสลับขาว ในใจพรุ่งพรูความอับอายและโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เจ้าสำนักสำนักโบราณจรัสเทพผู้สูงส่ง คนที่เป็นเหมือนนายเหนือหัวในโลกมืด แต่กลับตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง!
“ว่ามาเถอะ”
เสียงเขาแหบพร่าต่ำลึก
ใต้เชิงเขา ในใจเหล่าผู้กล้าต่างทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก
การเข่นฆ่าครั้งหนึ่ง จักรพรรดิดุจผักหญ้า ถูกสังหารอย่างไร้ปรานี ใครไม่ได้เห็นเองกับตาย่อมไม่กล้าเชื่อ ว่าจักรพรรดิเต้ายวนที่เพิ่งมีปราณระดับจักรพรรดิขั้นสี่จะมีอานุภาพท่วมฟ้าเช่นนี้แล้ว
ตอนนี้คนสูงส่งระดับอวี้คุนจื่อยังจำต้องก้มหน้าเก็บงำ!
“ทางแรก บอกความลับในการควบคุมพลังเขาลูกนี้ ข้าคนแซ่หลินจะให้เจ้าเหลือศพสภาพสมบูรณ์ อยู่ได้ในโลกสืบไปได้”
ทันทีที่หลินสวินเอ่ยประโยคนี้ออกมา อวี้คุนจื่อก็โกรธจนหัวเราะ “เป็นเช่นนี้ดังคาด!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุแล้วว่าทำไมในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่หลินสวินมีโอกาสฆ่าเขาหลายครั้ง แต่สุดท้ายกลับยั้งมือ
ที่แท้ก็เพราะนัยเร้นลับระเบียบของเขาหุบเหวโลหิต!
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เอ่ยต่อไปว่า “ทางที่สอง ข้าคนแซ่หลินจะจับเจ้ามา แล้วชิงทุกสิ่งที่ต้องการไปจากจิตวิญาณของเจ้า”
ทั้งสองตัวเลือก ไม่ว่าทางไหนล้วนต้องตาย ต่างกันแค่มีเกียรติหรือไม่ก็เท่านั้น
อวี้คุนจื่อหน้าอกไหวกระเพื่อม ภายในใจทะลักความเศร้าสลดที่บอกไม่ถูก
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ เขาปกครองสำนักโบราณจรัสเทพ ดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์เหนือสุด มองโลกและคลื่นลมเป็นเรื่องสนุก มีหรือจะเคยคาดคิดว่าวันหนึ่งถึงกับถูกเขี่ยตกลงมายังโลกปุถุชน ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ครู่ใหญ่ให้หลังเขาเงยหน้าขวับ สายตาแดงก่ำ กล่าวคำราม “ต่อให้ข้าตายไป สำนักโบราณจรัสเทพก็ยังอยู่ เจ้าหลินเต้ายวน… ช้าเร็วก็ต้องประสบเคราะห์เข้าสักวัน!”
เสียงเจือแววแค้นเข้ากระดูก
หลินสวินกล่าว “ห่างจากที่นี่แสนลี้ก็คือ ‘เขาบรรพชนจรัสเทพ’ จนป่านนี้แล้ว ข้าคนแซ่หลินจะบอกเจ้าให้ก็ได้ เขาบรรพชนจรัสเทพในตอนนี้เกรงว่าคงถูกล้อมกรอบแน่นหนานานแล้ว”
“อะไรนะ!?”
อวี้คุนจื่อเบิกตากว้าง “นี่เป็นไปไม่ได้ โลกมืดแห่งนี้ใครหน้าไหนจะกล้าล้อมสำนักโบราณจรัสเทพของข้า”
หลินสวินกล่าว “ข้าบอกไปแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อล้วนไม่สำคัญ ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าควรตัดสินใจแล้ว”
อวี้คุนจื่อสีหน้าเขียวคล้ำ จ้องหลินสวินตาเขม็ง “หลินเต้ายวน เจ้าต้องกรรมสนองแน่!”
สวบ!
จู่ๆ ซีก็ลงมือ มาหยุดตรงหน้าอวี้คุนจื่อ มือเรียวดุจหยกยื่นออกมาบีบคอเขาไว้แน่น
แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง ก็เห็นพลังชีวิตทั่วร่างอวี้คุนจื่อเลือนหายไปดุจกระแสน้ำ ร่างกายเลือดเนื้อของเขาล้วนแห้งเหี่ยวหมองคล้ำ เพียงไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นเถ้าธุลีร่วงโรยจากฝ่ามือของซี
“จบชีวิตตัวเองแล้ว” ซีกล่าว
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “เจ้าเฒ่านี้ถือว่ายังมีความหยิ่งในเกียรติอยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้เลยว่าต่อให้ไม่มีเขา ข้าก็สามารถสืบเสาะนัยเร้นลับของเขาลูกนี้ได้อยู่ดี”
ขณะพูดเขาจัดการสนามรบรอบหนึ่ง เก็บรวบรวมทรัพย์หลังศึกทั้งหมดใส่ถุงเก็บของ ถึงค่อยสำรวจเขาหุบเหวโลหิตใต้เท้า เรียกเตากระบี่ออกมา
วู้ม!
กระบี่มรรคดุจประกายอสนีพุ่งโฉบออกจากเตากระบี่ เพลิงหงส์ระเบียบสีม่วงบนตัวกระบี่คละคลุ้งด้วยระลอกคลื่นพลังที่คลุมเครือลึกลับ
จิตรับรู้หลินสวินแผ่ครอบตัวกระบี่ เลาะตามกลิ่นอายเพลิงหงส์ระเบียบก่อนจะแผ่ครอบไปทั่วทั้งเขาหุบเหวโลหิต
ครู่ต่อมา
ในจิตรับรู้หลินสวินสัมผัสได้ ว่ากลางเขาลูกนี้รายล้อมด้วยระลอกคลื่นพลังระเบียบที่แปลกประหลาดชวนประหวั่น
กลิ่นอายของเคราะห์จ่อมจม!
พริบตาเดียวหลินสวินก็ระบุได้ว่าพลังระเบียบแปลกประหลาดนั่น เหมือนกับเคราะห์จ่อมจมที่เกิดขึ้นตอนแดนปรินิพพานมาเยือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
ทว่าพลังระเบียบของเขาหุบเหวโลหิตแห่งนี้เห็นได้ชัดว่าอ่อนกำลังกว่ามาก เทียบกับพลังระเบียบของแดนปรินิพพานไม่ติด
หลินสวินอดครุ่นคิดไม่ได้
เคราะห์จ่อมจมครั้งแรก ทำให้ในแดนอำพรางควบรวม ‘นรกอำพราง’ ออกมา
เคราะห์จ่อมจมครั้งที่สองก็ปะทุขึ้นใกล้เคียงกับเขาหุบเหวโลหิตลูกนี้ เป็นผลให้เขาหุบเหวโลหิตเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ และเต็มไปด้วบพยับหมอกตลอดปี ต้นไม้ใบหญ้าทุกใบล้วนทนทานไม่อาจสั่นคลอน ไม่มีใครทำลายได้!
ส่วนเคราะห์จ่อมจมครั้งที่สามก็ทำให้ ‘แดนปรินิพพาน’ มาเยือน…
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าพลังระเบียบภายในเขาหุบเหวโลหิตลูกนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพลังจากเคราะห์จ่อมจม
และเป็นไปได้มากว่าอาจเป็นพลังต้นกำเนิดโลกฟ้าดาราเช่นเดียวกับ ‘แดนปรินิพพาน’!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็นึกถึงประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ได้ควบคุมและครอบครองพลังระเบียบตอนที่ตนอยู่แดนปรินิพพาน หัวใจพลันเต้นแรง
ฮูม!
จิตรับรู้ของเขาเจาะลึกลงไปกลางเขาหุบเหวโลหิต เริ่มสัมผัสและหยั่งรู้พลังระเบียบกลุ่มนั้น
หากเป็นระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ หรือต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิ อย่าว่าแต่หยั่งรู้เลย แค่คิดอยากหาพลังระเบียบกลุ่มนี้ยังยาก!
สาเหตุเป็นเพราะสิ่งที่ปกคลุมเขาหุบเหวโลหิตทั้งบนล่างก็คือกลิ่นอายของพลังระเบียบนี้ กีดขวางการสำรวจของจิตรับรู้ทั้งหมด
และหลินสวินก็อาศัยพลังเพลิงหงส์ระเบียบในเตากระบี่ถึงสลายกลิ่นอายกีดขวางนั่นไปได้ และมีโอกาสหยั่งรู้ทั้งหมดนี้
หนึ่งก้านธูปต่อมา
หลินสวินเก็บจิตรับรู้ นิ่งเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยกมือขึ้น
ตูม!
เขาหุบเหวโลหิตที่สูงหมื่นจั้งใต้เท้าพลันแตกทุกกระเบียด กลายเป็นดินหินพังถล่มรุนแรง
ในพื้นที่ใกล้เคียงเกิดเสียงร้องตกใจระลอกหนึ่ง สามารถมองเห็นเงาร่างมากมายหลบหนีจ้าละหวั่น
“ชมเรื่องสนุกจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ไปอีก ไม่ห่วงชีวิตแล้วหรือ”
เสียงราบเรียบของหลินสวินดังก้องกลางฟ้าดิน
ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งมากมายที่ซ่อนตัวในพื้นที่ใกล้เคียงต่างหนีเตลิดไกลออกไป ไม่กล้าโอ้เอ้อีก
ขณะเดียวกันเมื่อหลินสวินกำฝ่ามือ กลางห้วงอากาศเงาแสงระเบียบขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งโฉบพุ่ง ตกสู่กลางฝ่ามือของเขา
“ผู้อาวุโส นี่คือพลังต้นกำเนิดระเบียบที่หลงเหลือหลังจากการมาเยือนของเคราะห์จ่อมจมครั้งที่สอง ข้างในบรรจุความวิเศษแห่งการจ่อมจมเอาไว้”
ขณะพูดหลินสวินก็ยื่นพลังระเบียบที่สามารถทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิบ้าคลั่งไปให้ซีที่อยู่ด้านข้าง
ซีคล้ายประหลาดใจยิ่ง “ให้ข้าหรือ”
หลินสวินยิ้มกล้าว “หลายปีมานี้โชคดีที่มีผู้อาวุโสคอยร่วมทางและคุ้มครองตลอดมา ถึงทำให้ข้าสลายเคราะห์ได้มากมาย ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสตอบแทน หวังว่าผู้อาวุโสจะไม่ปฏิเสธ”
ทุกถ้อยคำเอ่ยออกมาจากใจ
ปีนั้นยามอายุยังน้อย ตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นชั่วคราวก็ได้รับห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซีก็อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด
จักรวรรดิจื่อเย่า แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมรภูมิกระหายเลือด ดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา โลกมืด แดนเจินหลง แดนหงส์เซียน…
ตลอดการเดินทางนี้ มีเพียงซีที่อยู่ข้างกายเขาตลอด
สาเหตุอาจเป็นเพราะห้องโถงมรรคาสวรรค์ แต่มีหรือหลินสวินจะไม่สำนึกบุญคุณนี้
ที่น่าเสียดายคือในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น วาสนาและสมบัติที่เขารวบรวมได้ แทบไม่มีอะไรสามารถนำออกมาตอบแทนซีได้เลย
ครั้งนี้ไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาส แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย
สำหรับคนนอก การครอบครองพลังระเบียบก็เท่ากับครอบครองรากฐานพลังดั่งนายเหนือหัวของโลก แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ
เหมือนอย่างจอมจักรพรรดิไร้นาม หรือจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้
แต่สำหรับหลินสวิน พลังระเบียบที่เคราะห์จ่อมจมครั้งที่สองหลงเหลือไว้ เทียบกับบุญคุณที่ซีร่วมเดินทางมาด้วยกันไม่ได้เลย!
เห็นได้ชัดว่าซีลังเลอยู่มาก เพราะนางรู้ดียิ่งกว่าหลินสวินว่าพลังระเบียบระดับนี้หายากและล้ำค่าปานใด ทั่วหล้าฟ้าดารานี้แม้จะเรียกได้ว่าไพศาลไร้พรมแดน ทว่าพลังระเบียบ… กลับน้อยยิ่งกว่าน้อย จากอดีตจนปัจจุบัน ผู้โชคดีได้รับวาสนาระดับนี้มีจำนวนน้อยนิดอย่างที่สุด
“รับไว้เถิด” หลินสวินเอ่ยปากยิ้มๆ ไม่ยอมให้ทัดทาน ก็เห็นพลังระเบียบกลุ่มนี้ยัดใส่มือของซีแล้ว
ปลายนิ้วสองฝ่ายสัมผัสกัน หลินสวินรู้สึกเพียงนุ่มเย็นดุจหยก เรียบลื่นอ่อนละมุน ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอื่นใดอีก
แต่ซีกลับคล้ายแตะประกายอสนี สะดุ้งจนต้องชักมือกลับ เงาร่างอรชรล้วนสั่นระริก นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งไป อดสงสัยไม่ได้
ซีเองก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนมีปฏิกิริยามากเกินไปหน่อย ลอบตั้งสติกับตัวเองแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็… ขอบคุณมาก”
เสียงใสเย็นนั่นเจือแววอ่อนโยนที่หาได้ยาก ดุจดั่งลมวสันต์อบอุ่นชุ่มเย็นพัดผ่านผิวน้ำแข็งเย็นยะเยือกเป็นสายๆ ซึมซาบจิตใจ สะเทือนจิตวิญญาณผู้คน
หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ด้วยความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสกับข้า ไยต้องกล่าวขอบคุณ ภายหน้าหากมีจุดไหนที่พอช่วยผู้อาวุโสได้ ข้าย่อมไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน”
ซีมองหลินสวินปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยเย้า “เจ้าหนูน้อย อย่าคิดว่าพลังระเบียบเสี้ยวเดียวจะทำให้ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเจ้าได้ นี่ยังไม่พอด้วยซ้ำ”
นางชะงักไปครู่หนึ่งคล้ายสะกิดใจ กล่าวว่า “อีกอย่าง ข้ามองดูเจ้าเติบโตมาตลอด เจ้าอย่าเกิดความคิดเป็นอื่นกับข้าเชียว”
กล่าวจบนางก็กลายเป็นละอองแสงสายหนึ่งเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์
หลินสวินอึ้งไป เกิดความคิดเป็นอื่นอะไรกัน ผู้อาวุโสซีประโยคนี้…
ช่างทำให้คนตีความได้หลายอย่างจริงๆ…
หลินสวินส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มแล้วจากไปอย่างผ่าเผย
ถึงเวลาไปรวมตัวกับต้าหวงแล้ว!
…
เขาบรรพชนจรัสเทพ ถิ่นที่มั่นของยักษ์ใหญ่ในโลกมืออย่างสำนักโบราณจรัสเทพ
นับแต่โบราณกาลเรื่อยมาจนปัจจุบัน เขาลูกนี้ถูกสรรพชีวิตในโลกมืดมองเป็นสถานที่ดุจดั่งแดน ‘เทพศักดิ์สิทธิ์’
พลบค่ำ
วู้ม!
พร้อมๆ กับระลอกคลื่นต้องห้ามคลุมเครือระลอกหนึ่ง เสี่ยวอู่ราวยกภูเขาออกจากอก เหนื่อยเพลียอยู่บนพื้น หอบหายใจถี่รัว “สำเร็จแล้ว!”
เขาบรรพชนจรัสเทพกว้างใหญ่ไพศาลเป็นที่สุด ทอดยาวไปบนพื้นที่กว้างขวาง แต่จุดที่ประตูภูเขาตั้งอยู่เป็นเพียงภูเขาวิญญาณที่งามวิจิตรสูงชันลูกหนึ่งเท่านั้น นามว่ายอดเขาจรัสนภา
เมื่อผ่านประตูภูเขาอย่างยอดเขาจรัสนภาลูกนี้ไป ก็สามารถเข้าสู่แดนลับที่สำนักโบราณจรัสเทพบุกเบิก ผู้สืบทอดทั้งบนล่างของสำนักโบราณจรัสเทพล้วนปักหลักฝึกปราณอยู่ในนั้น
ยามเช้าต้าหวงพาเสี่ยวอู่มาถึงเขาลูกนี้ มายังสถานที่ตั้งของยอดเขาจรัสนภาแบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็น
การตรวจตราและการป้องกันแน่นหนานั่น สำหรับต้าหวงและเสี่ยวอู่แล้วเหมือนของปลอมโดยสิ้นเชิง
คนหนึ่งสามารถต้านวงล้อมการโจมตีของสามบรรพจารย์จักรพรรดิได้เพียงลำพัง พลังต่อสู้น่าตกใจ
อีกคนเป็นวิญญาณค่ายกลโดยกำเนิด ทลายผนึกประหนึ่งดื่มน้ำกินข้าว สองคนร่วมมือกัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เรียกความสนใจใดๆ
เพียงแต่การวางกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญยุ่งยากซับซ้อนและยิ่งใหญ่เกินไป ซ้ำยังต้องปิดผนึกประตูภูเขาสำนักโบราณจรัสเทพให้หมด เสี่ยวอู่ทุ่มเทพลังทั้งกายใจทั้งหมดที่มี ถึงวางกระบวนค่ายกาลนี้ได้สำเร็จในตอนนี้
ต้าหวงพุ่งเข้ามา กล่าวอย่างรีบร้อน “แล้วยังมัวรออะไรอีก เปิดใช้งานกระบวนค่ายกล เริ่มลงมือสังหารศัตรูตรงๆ ไปเลยสิ”
เสี่ยวอู่เหนื่อยจนกลอกตา นอนแผ่บนพื้นกล่าวสะอื้นอย่างหมดแรง “อย่าว่าแต่สังหารศัตรูเลย เจ้าทำข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว”
——