“โลกกระดานหมากหรือ” หลินสวินประหลาดใจ

เจ้าลิงเอ่ย “ใช่ กระดานหมากที่เจ้าคนลึกลับนั่นหลอมขึ้นด้วยมหามรรคของตัวเอง ภายในเหมือนโลกอันกว้างใหญ่ใบหนึ่ง พวกที่ถูกเขาลบความทรงจำทุกคนล้วนกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในโลกอันกว้างใหญ่นั้น”

หลินสวินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเข้าไปในโลกต้นกำเนิดต่อไปกับเจ้าลิง

ฟ้าดินกว้างใหญ่ บนผืนดินเวิ้งว้างรกร้างเป็นที่สุด

ไม่มีภูเขา ไม่มีสายธาร และไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสรรพสิ่ง อ้างว้างว่างเปล่า มีแต่ความวังเวง

แต่หลังจากเข้ามาที่นี่ เจ้าลิงกลับดูวิตกกังวลหาใดเทียบ ตัวสั่นงันงก ถึงกับไม่กล้าเอ่ยปากพูดอีก ทำเพียงส่งสายตาให้หลินสวิน ให้เขาระวังตัว

แววตาหลินสวินวับวาว พาเจ้าลิงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

โลกต้นกำเนิดแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มีทัศนียภาพแห้งแล้งอ้างว้าง ราวกับสถานที่ที่สรรพสิ่งพังพินาศ

ถึงขนาดสัมผัสไอวิญญาณกับคลื่นมหามรรคไม่ได้

กระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป ต้นไม้แก่โล้นเตียนต้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้าไกลลิบ กิ่งก้านดุจดาบกระบี่ ชี้เวิ้งฟ้า รากต้นไม้ที่เผยออกมาบนพื้นดินเหมือนหินก้อนโต

เงาร่างผอมแห้งร่างหนึ่งนั่งอยู่หน้ารากต้นไม้ หนวดเคราเผ้าผมยุ่งเหยิง กำลังก้มมองกระดานหมากที่อยู่ตรงหน้า ไม่เคลื่อนไหวแม้สักนิดดุจรูปปั้นดินเหนียว

โลกทั้งใบมีต้นไม้หนึ่งต้น มนุษย์หนึ่งคน กระดานหมากหนึ่งกระดาน!

เห็นได้ชัดว่าเงาร่างผอมแห้งนั่นก็คือ ‘คนประหลาดลึกลับ’ ที่เจ้าลิงพูดถึง บุคคลน่ากลัวที่ลบความทรงจำของระดับจักรพรรดิเพียงชั่วดีดนิ้วได้

เจ้าลิงประหม่าจนตัวสั่นแล้ว ส่งสายตาให้หลินสวินอย่างต่อเนื่อง ให้เขาไม่ต้องสนใจ ตรงไปข้างหน้า

เพราะไม่ไกลจากด้านหลังต้นไม้เหี่ยวแห้งนั้นมีประตูดั่งความว่างเปล่าบานหนึ่ง ขอเพียงผ่านประตูบานนี้ไปก็จะไปถึงแกนกลางของต้นกำเนิดหมื่นมรรค!

หลินสวินคิดๆ ดู สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้จิตรับรู้ไปสำรวจ เก็บสายตากลับมาและเดินไปยังที่ที่ประตูบานนั้นตั้งอยู่ตามการนำทางของเจ้าลิง

ฟ้าดินเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงลม เงียบเชียบจนน่าอึดอัดใจ

แต่พอหลินสวินกับเจ้าลิงผ่านต้นไม้แห้งต้นนั้น ยังไม่ทันเดินไปไกลเท่าไร จู่ๆ เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ประลองหมากไหม”

เพียงสามคำกลับทำให้เจ้าลิงร่างอ่อนยวบราวกับถูกสายฟ้าฟาด ร้องเสียงหลงว่า “จบเห่แล้ว…”

หลินสวินผินหน้ามา ก็พบว่าใต้ต้นไม้แห้งนั้น เงาร่างผอมแห้งที่จ้องกระดานหมากอยู่ตลอดทอดสายตามองมาแล้ว

สายตานั้นบริสุทธิ์ราวกับทารก ใสกระจ่างไม่มีสิ่งใดเจือปน ทั้งยังสะท้อนหมื่นลักษณ์ฟ้าดาราได้เหมือนกระจกที่เผยภาพออกมาอย่างหมดจด

ทันทีที่ถูกเขาจับจ้อง ร่างของหลินสวินก็เกร็งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ผ่อนคลายลงทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทำไมต้องการประลองหมากกับข้า”

เงาร่างผอมแห้งชี้กระดานหมากตรงหน้า “สมัยต้นดึกดำบรรพ์ข้าก็เข้าไปที่นี่แล้ว ใช้พลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่ได้จากการหยั่งรู้หลอมกระดานหมากนี้ออกมา ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ด้วยการขัดเกลาและปรับแต่งไม่หยุดหย่อนของข้า ในกระดานหมากนี้ได้สั่งสมกลิ่นอายต้นกำเนิดหมื่นมรรคเอาไว้…”

นัยน์ตาหลินสวินหดรัด

เจ้าเฒ่านี่ถึงกับเป็นคนในยุคต้นดึกดำบรรพ์ ทั้งยังหลอมนัยเร้นลับต้นกำเนิดหมื่นมรรคเข้าไปในกระดานหมากกระดานหนึ่ง!

แค่ฝีมือเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึงแล้ว!

“เจ้ามาคราวนี้คงเพื่อนัยเร้นลับแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคนั่น แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าตอนนี้ไอวิญญาณฟื้นคืน นัยเร้นลับแกนกลางของต้นกำเนิดหมื่นมรรคปลดปล่อยออกมาไม่หยุด แผ่กระจายไปถึงโลกภายนอกมานานแล้ว”

“ตอนที่เจ้ามาคงสังเกตเห็นแล้วว่าไอวิญญาณที่โลกภายนอกปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง วาสนามรรคต่างๆ ผุดออกมาราวกับหน่อไม้หลังฝน สภาพฟ้าดินเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ประหนึ่งมหายุคอันหายากยิ่งไม่เคยมีมาก่อนกำลังจะมาเยือน…”

“นี่ก็คือพลังที่แกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคปลดปล่อยออกมา”

“และนี่ก็หมายความว่าการเดินทางของเจ้าครั้งนี้… ย่อมไม่อาจครอบครองกลิ่นอายต้นกำเนิดหมื่นมรรคโดยสมบูรณ์ได้อีก”

ยิ่งพูดมากเข้า เสียงของเงาร่างผอมแห้งก็เปลี่ยนจากแหบแห้งเป็นต่ำลึกกังวาน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่มาประลองหมากกับข้าสักกระดาน”

เจ้าลิงกังวลจนแทบพังทลาย เอ่ยเสียงพร่าว่า “จะรับปากไม่ได้นะ รับปากไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วจะต้องถูกลบความทรงจำ ตกเป็นหมากในกระดานหมากนั้น!”

เงาร่างผอมแห้งไม่สนใจเจ้าลิง ทำเพียงมองไปยังหลินสวิน

ด้านหลินสวินกลับจมสู่ความเงียบงัน

คำพูดของชายชราผอมแห้งทำให้เขาตระหนักเรื่องหนึ่งได้ทันที

ไอวิญญาณฟื้นคืน มหายุคมาเยือน ทำให้โลกชั้นล่างเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเพราะเหตุใด

ชายชราผอมแห้งให้คำตอบแล้ว…

เป็นเพราะพลังแกนหลักของต้นกำเนิดหมื่นมรรคปลดปล่อยออกมาไม่หยุด!

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า พลังแกนหลักของต้นกำเนิดหมื่นมรรคก็เหมือนกับหิมะน้ำแข็งที่ละลายไม่หยุดหย่อน ไม่คืนสู่สภาพสมบูรณ์มานานแล้ว กระทั่งว่าพอเวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเหี่ยวแห้งหายลับไปเข้าสักวัน!

ไม่ว่าเป็นใคร ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่อาจหยั่งรู้นัยเร้นลับสมบูรณ์ของต้นกำเนิดหมื่นมรรคได้

พอคิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ยกยิ้มมุมปากเยาะหยันตัวเองอย่างอดไม่ได้

หนึ่งเดือนมานี้ท่องไปในแดนลับต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดกลับพบว่านัยเร้นลับสุดท้ายที่เสาะหากลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ไปแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับใช้ตะกร้าไผ่ตักน้ำ

แต่หลินสวินกลับไม่ได้หงุดหงิดอะไร

ระหว่างทางนี้แค่ผลึกมรรคต้นกำเนิดที่เขารวบรวมได้ก็มีร้อยกว่าก้อนแล้ว มูลค่าเช่นนั้นไม่อาจประเมินได้โดยสิ้นเชิง

“ในเมื่อไม่อาจได้นัยเร้นลับแกนหลักของต้นกำเนิดหมื่นมรรค ข้าก็ไม่สนใจจะประลองหมากกับเจ้า” หลินสวินปฏิเสธ

กลับพบว่าเงาร่างผอมแห้งเอ่ย “ถ้าเจ้าชนะก็สามารถนำกระดานหมากที่ภายในมีกลิ่นอายต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้ไปได้ หากเจ้าแพ้ ก็ต้องเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากนี้ก็เท่านั้น”

ประโยคเดียว แต่นัยที่แฝงอยู่ในนั้นสามารถทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิทั่วหล้าบ้าคลั่งได้

หลินสวินอึ้งไปเช่นกัน เอ่ยว่า “ตั้งแต่ต้นยุคดึกดำบรรพ์จนตอนนี้ผ่านกาลเวลาไปไม่รู้เท่าไร ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะหลอมกระดานหมากเช่นนี้ออกมาได้ ถ้าข้าประลองหมากชนะ เจ้าจะทำใจยอมแพ้แต่โดยดีได้จริงหรือ”

เงาร่างผอมแห้งเอ่ย “การประลองหมากมีแพ้มีชนะ ในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดนี้ข้านั่งเหี่ยวแห้งอยู่ที่นี่ จนตอนนี้ยังไม่มีใครเอาชนะและนำกระดานหมากนี้ไปได้”

ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยแพ้!

หลินสวินใคร่ครวญดูแล้วก็ยังปฏิเสธ ตั้งใจจะจากไป “เจ้าเดาผิดแล้ว ข้ามาคราวนี้เพียงเพื่อหาคนในตระกูลบางส่วน ไม่ได้มาเพื่อเสาะหาศุภโชคของต้นกำเนิดหมื่นมรรค”

“หาคนหรือ”

เงาร่างผอมแห้งอึ้งไป เอ่ยพึมพำว่า “บนโลกนี้ยังมีเรื่องใดสำคัญกว่าการหยั่งรู้มหามรรคอีกหรือ…”

หลินสวินไม่คิดจะสนใจเขาอีก

แต่เงาร่างผอมแห้งกลับพูดขึ้นว่า “ในนี้มีคนที่เจ้าหาอยู่หรือไม่”

กล่าวจบ ในห้วงอากาศปรากฏโลกอันเฟื่องฟูแห่งหนึ่ง มีเมืองอยู่นับไม่ถ้วน สรรพชีวิตมากมายพำนักอยู่ในนั้น ผู้คนหลากหลายชนชั้น ทั้งสูงต่ำล้วนก่อร่างสร้างภาพโลกมนุษย์แห่งหนึ่งขึ้นมา

หลินสวินเงยมองไป เพียงพริบตาเท่านั้นก็จับเงาร่างอันคุ้นเคยได้มากมาย

จ้าวไท่ไหล จ้าวซิงเย่ หลินจง หลินไหวหย่วน ท่านพญาแร้ง จูเหล่าซาน…

พวกเขาบ้างกลายเป็นอาจารย์ในห้องเรียนส่วนตัว บ้างเป็นข้ารับใช้ บ้างเป็นคุณชายในตระกูลชนชั้นสูง บ้าง…

ใน ‘โลกมนุษย์’ นั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในตอนนั้นเหล่านี้กลับเหมือนสรรพชีวิตในโลกปุถุชน ต่างมีรักโลภโกรธหลง สุขทุกข์หวานขมเป็นของตัวเอง

แต่ยามหลินสวินหมายจะสัมผัสโดยละเอียด โลกที่ปรากฏออกมานี้ก็หายลับไป

“ดูท่าคนที่เจ้าต้องการหาก็อยู่ในนั้น” เงาร่างผอมแห้งเอ่ยปาก

ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก จับจ้องอีกฝ่าย “เป็นเจ้าลบความทรงจำของพวกเขา แปลงพวกเขาเป็นหมากในโลกกระดานหมากนั้นหรือ”

เงาร่างผอมแห้งเอ่ยเนิบนาบ “เจ้ามาประลองหมากกับข้า ถ้าชนะข้าก็จะบอกเจ้า”

หลินสวินเดินตรงไปข้างหน้า มาถึงเบื้องหน้าต้นไม้นั้น ประเมินเงาร่างที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผอมแห้งมีแต่กระดูกผู้นี้ แล้วเอ่ยว่า “ประลองหมากอย่างไร”

ไกลออกไปเจ้าลิงอกสั่นขวัญหาย พอจะรับรู้ได้แล้วว่าคราวนี้หลินสวินประสบเคราะห์ยากหลบหนี

“ใช้ฟ้าดินแห่งนี้เป็นตารางหมาก ใช้มหามรรคที่ตัวเจ้ายึดครองเป็นหมาก”

เงาร่างผอมแห้งเอ่ย

ฟ้าดินรกร้างแห้งแล้งแห่งนี้พลันมีตารางหมากที่ตัดกันเป็นเส้นๆ อุบัติขึ้น ราวกับตาข่ายฟ้ามหึมาหาใดเทียบปากหนึ่ง

ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว

แบ่งแยกชัดเจน

“ตารางหมากก็คือสนามรบประชันมหามรรค เจ้ากับข้าต่างถือฟ้าดินไว้คนละด้าน อาณาเขตของใครถูกยึดก็เท่ากับแพ้”

เงาร่างผอมแห้งลุกขึ้นเอ่ยว่า “เขตขาวดำทั้งสองเขตนี้ เจ้าเลือกได้เขตหนึ่ง”

หลินสวินพยักหน้า เงาร่างพริบไหวมายังฟ้าดินที่ปกคลุมด้วยตารางหมากสีดำ เผชิญหน้ากับเงาร่างผอมแห้งที่อยู่ไกลๆ นั้น “การประลองหมากสู้กัน มีกติกาหรือไม่”

เงาร่างผอมแห้งส่ายหัว “การประลองหมากขาวดำ การประชันมหามรรค เจ้าสามารถปลดปล่อยทุกสิ่งที่มี จู่โจมได้ตามใจ”

“ดี”

หลินสวินพยักหน้า

เงาร่างผอมแห้งสะบัดแขนเสื้อ “ทะยาน”

ตูม!

ในตารางหมากแต่ละช่องในโลกตารางหมากสีขาวใต้เท้าเขา ต่างมีดวงดาวที่ก่อตัวจากพลังมหามรรคปรากฏขึ้น

ดวงดาวแต่ละดวงล้วนควบรวมขึ้นจากกฎเกณฑ์มหามรรคแตกต่างกันไป เต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งไพศาล

ชั่วพริบตานั้นดวงดารานับไม่ถ้วนแต่งแต้ม เปล่งแสงเทพต่างๆ ออกมา ทำให้โลกสีขาวโชติช่วงตระการตา

ที่อัศจรรย์ที่สุดคือ แม้ว่าดวงดาราเหล่านี้จะอยู่ในตารางหมากต่างกันไป แต่กลับโคจรตามวงโคจรอันลึกลับซับซ้อนอย่างหนึ่ง เรียกหากันและกัน เป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์

ราวกับแสดงทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่อย่าง ‘หมื่นมรรคสอดประสาน’

“หากสหายยุทธ์ทำลายโลกมหามรรคในตารางหมากสีขาวนี้ได้ ก็ถือว่าข้าแพ้”

เงาร่างผอมแห้งเสียงสงบนิ่งเสมอมา สิ่งที่เผยออกมามีแต่ความมั่นใจในตนเองถึงที่สุด ราวกับเทพผู้มองทะลุความจริงเท็จทั้งมวล ยืนอยู่เหนือโลกหล้า

หลินสวินขับเคลื่อนความคิด

โลกสีดำที่อยู่ใต้เท้าเขากลับปรากฏเตาหลอมหนึ่ง มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ดับสูญชั่วนิรันดร์ โดดเด่นหนึ่งเดียวอยู่กลายๆ

เตาหลอมปกคลุมโลกสีดำ มีนัยเร้นลับมหามรรคมากมายสำแดงออกมาจากเตาหลอม

“ไม่เลว!”

ไกลออกไปดวงตาเงาร่างผอมแห้งเจิดจ้าดุจดวงตะวัน อุทานออกมา “ในกาลเวลานับไม่ถ้วนที่ผ่านมานี้ คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านมหามรรคเช่นนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน สหายยุทธ์ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

ระหว่างที่พูดเขาก็ดีดนิ้ว

ตูม!

แสงมรรคแถบหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางวงโคจรของดวงดารานับไม่ถ้วน ควบรวมเป็นประทับมรรค มีอานุภาพน่าหวาดหวั่นที่สยบภูผาธาราทั่วหล้าได้อยู่ในที

ชั่วครู่สั้นๆ ก็พุ่งจู่โจมสะเทือนเลื่อนลั่นมายังโลกสีดำที่หลินสวินอยู่

“โอม!”

ดวงตาดำของหลินสวินดุจสายฟ้า เตาหลอมพลุ่งพล่าน กระบี่มรรคเล่มหนึ่งปรากฏแล้วฟาดฟันออกไป

เปรี๊ยะ!

ประทับมรรคแยกออกเป็นสองส่วน ระเบิดกระจุยสลายไป

เงาร่างผอมแห้งไม่ลนลาน เมื่อดีดนิ้วต่อเนื่อง ในโลกตารางหมากสีขาวใต้เท้าก็มีการโจมตีที่ควบรวมจากมหามรรคต่างๆ พุ่งออกมา

บ้างรวมตัวเป็นภูเขา บ้างจำแลงเป็นมหาสมุทร บ้างสำแดงเป็นศาสตรามรรค… พุ่งเข้าใส่โลกตารางหมากสีดำของหลินสวินด้วยอานุภาพผลักภูเขาพลิกสมุทร

ชั่วพริบตานั้นประหนึ่งหมื่นมรรครวมตัว ฟ้าดินล้วนอับแสง!

——