ซูจือหยูก่อนหน้านี้ ในสมองกำลังครุ่นคิด ถึงเรื่องศักดิ์ศรีของตระกูลซู
แต่งว่า ซูจือหยูในวินาทีต่อมา ถึงนึกขึ้นมาได้ว่า“ถึงแม้ฉันจะเป็นคนของตระกูลซู แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันยืนหยัดอยู่ข้างๆแม่ ในตอนที่แม่เจอปัญหาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นในอนาคตข้างหน้าฉันแต่งงานออกไป แล้วเจอสถานการณ์เดียวกัน ก็คงไม่มีใครยืนข้างฉันหรอก!”
“เรื่องนี้ จากต้นสายปลายเหตุ มันไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหน้าตาของตระกูลซู แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลักการ!”
“ปัญหาเรื่องหลักการนี้ สิ่งที่เกี่ยวข้องจริงๆคือผิดหรือถูก ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด อย่าขอให้ผู้หญิงยอมรับ เพียงเพราะเป็นความผิดของฝ่ายชาย!แล้วขอให้ฝ่ายหญิงต้องกล้ำกลืนแบกรับความน้อยใจเพื่อรักษาหน้าของฝ่ายชาย!”
“ดังนั้น วันนี้ หนูจะไปร่วมงานประมูลครั้งนี้นี้กับคุณแม่ด้วยค่ะ!”
ซูจือเฟยที่เห็นแบบนี้ ในใจของเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ในฐานะที่เป็นหลานคนโตของตระกูลซู ความจริงแล้วเขาจะต้องแยกแยะข้อดีและข้อเสียให้ได้
เมื่อยืนอยู่ในมุมของตระกูลซู เขารู้สึกว่าในเวลาแบบนี้แม่ไม่ควรไปร่วมงานประมูล เพราะต้องเห็นแก่ส่วนรวมของตระกูลซู
แต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่แม่กับน้องสาวพูด ในใจของเขาก็คิดได้ในทันที เขาจะยืนอยู่ในมุมของตระกูลซูไม่ได้ และมองข้ามแม่ของตัวเอง
ดังนั้น เขาจึงถอนหายใจ แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“แม่ครับ ผมจะไปกับแม่ด้วยครับ”
ตู้ไห่ชิงยิ้มอย่างสบายใจ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า“จือเฟย ลูกไม่ต้องไปกับแม่หรอก ให้จือหยูไปกับแม่ก็พอแล้ว”
ซูจือเฟยรับถามทันที“แม่ครับ ทำไมแม่ถึงไม่ให้ผมไปด้วยล่ะ?”
ตู้ไห่ชิงพูดอย่างเคร่งขรึมไปว่า“ลูกเป็นหลานคนโตของตระกูลซู เวลาแบบนี้อย่าหาเรื่องให้ตัวเองจะดีกว่า ”
ซูจือเฟยรีบพูดขึ้นมาว่า“แต่จือหยูเธอ……”
ตู้ไห่ชิงโบกมือไปมา“ลูกกับจือหยูไม่เหมือนกัน”
ความจริงในใจของซูจือเฟยรู้ดี
เขาเป็นหลานคนโต ในอนาคต จะต้องพยายามแย่งตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลซู
ถ้าหากเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ในสายตาของคุณปู่ งั้นเขาก็จะเสียโอกาสในการสืบทอดตระกูลซูในทันที
และตัวเขาเอง ไม่ได้เป็นคนใจกว้างเหมือนซูจือหยู
ซูจือหยูสามารถไม่สนใจทรัพย์สิน อำนาจรวมถึงตำแหน่งสืบทอดของตระกูลซูได้ แต่ซูจือเฟยยังคงทำถึงจุดนี้ได้
เวลานี้เอง พ่อบ้านเองก็พูดเกลี้ยกล่อมว่า“คุณชายครับ คุณชายเชื่อฟังคุณหนูรองเถอะครับ อย่าตามไปเลย”
ซูจือเฟยนิ่งเงียบไป แล้วทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ พลางเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“แม่ครับ งั้นผม……งั้นผมไม่ไปกับแม่ก็ได้ครับ……”
พูดจบ ซูจือเฟยก็ก้มหน้าอย่างละอายใจ
เขารู้ดี ถึงแม่จะเป็นคนห้ามไม่หาตนเองไป แต่สุดท้ายตัวเองก็ขี้ขลาด
ตู้ไห่ชิงราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“จือเฟย ให้คนขับรถไปส่งลูกที่สนามบินเถอะ แม่จองเครื่องให้ลูกแล้ว ในเวลาสิบโมงตรงจะบินกลับไปที่เย่นจิง”
“ห้ะ?!”ซูจือเฟยอุทานอย่างตกใจ“แม่ครับ ผะ……ผมไม่อยากกลับเย่นจิง……”
ตู้ไห่จิงพูดอย่างจริงไปว่า“ไม่อยากกลับก็ต้องกลับ เวลาสิบโมง แม่จะไปเข้าร่วมงานประมูล ลูกเดินทางกลับเย่นจิง นี่เป็นการแสดงจุดยืนที่มีต่อตระกูลซู”
ซูจือเฟยร้อนรนมากยิ่งขึ้น จึงโพล่งออกไปว่า“แสดงจุดยืนอะไรครับ?!หรือผมต้องแสดงจุดยืนให้พวกเขาคิดว่าผมจงใจแยกทางกับแม่น่ะสิ?”
“ใช่”ตู้ไห่ชิงพยักหน้า แล้วพูดอย่างไม่ปิดบัง“แม่หมายความว่า เรื่องที่แม่จะทำ เป็นเรื่องของแม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับลูก ลูกไม่จำเป็นต้องยืนข้างแม่ก็ได้ และไม่จำเป็นต้องโดนลากมาเกี่ยวข้องด้วย ลูกกลับไปตอนนี้ เพื่อแสดงจุดยืนต่อโลกภายนอก และแสดงจุดยืนให้คุณปู่ของลูก เพื่อลดผลกระทบที่แม่มีต่อลูก อีกทั้งสิ่งนี้ไม่ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างสองแม่ลูกเรา พังทลายอะไร ทำไมลูกถึงไม่ทำมันล่ะ?”
ซูจือเฟยจึงพูดออกไปว่า“แต่ผมไม่อยากไปแสดงจุดยืนนั่น!”
ตู้ไห่ชิงถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วยิ้มพลางพูดขึ้นมาว่า“ลูกควรเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว”
พูดจบ เธอก็มองไปยังพ่อบ้าน แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“ลุงหวาง ลุงช่วยฉันส่งจือเฟยไปที่สนามบินหน่อยค่ะ”
พ่อบ้านพยักหน้าอย่างไม่ลังเล“ได้ครับคุณหนูรอง”
ซูจือเฟยรีบพูดขึ้นมาว่า“แม่ครับ ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่เมืองจินหลิง”