เมื่อได้ยินว่าโทรศัพท์ของไหม้เฉิงซินปิดเครื่อง ซูเฉิงเฟิงก็ตกใจจนแทบจะทรุดไปกับพื้น

ซวนเฟิงเหนียนฆ่าคนบริสุทธิ์ในทุกที่ เขาหายตัวก็ช่างเถอะ แต่ใครจะไปคิดว่า ไหม้เฉิงซินตาแก่ที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กลับหายตัวไปด้วยอีกคน

เขาอดที่จะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้“หรือว่า……หรือว่าหมอนั่น ไม่ปล่อยแม้แต่ตาแก่ที่อายุเป็นร้อยปี?!”

ซูอานสุ้นปาดเหงื่อ แล้วโพล่งออกไปว่า“คุณท่าน รถของซวนเฟิงเหนียนถูกฟ้าผ่าจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เดิมทีเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโชคดีรอดพ้น สำหรับไหม้เฉิงซิน ผมว่าเขามีความเป็นไปได้สองอย่าง ถ้าไม่ตาย ก็ต้องหนีไปแล้ว”

“หนีไป?”ซูเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง พลางพยักหน้าและพูดว่า“ตาแก่สามารถทำนายได้ ไม่แน่อาจทำนายได้ว่าจะพบกับอันตราย ดังนั้นอาจจะหนีไปก่อนก็เป็นได้……”

พูดจบ เขาก็ถอนหายใจยาว แล้วกล่าวว่า“ไม่ว่าตาแก่นั่นจะเป็นหรือตาย จากมุมมองของฉันก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะใช้ประโยชน์อะไรจากเขาได้แล้ว ซวนเฟิงเหนียนมีแนวโน้มจบเห่ ในมือของฉันไม่มีไม้ตายอะไรจะใช้ได้แล้วล่ะ……”

ซูอานสุ้นรีบเอ่ยถามว่า“คุณท่านครับ งั้นต่อไปเราควรทำอย่างไรดีครับ?”

ซูเฉิงเฟิงส่ายหัวไปมา แล้วพูดพึมพำว่า“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน……”

……

ในขณะเดียวกัน ซูจือหยูใช้เหตุผลขอเข้าพบนางาฮิโกะ อิโตะ เพื่อมาที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง

เอมิ อีโตะน้องสาวของนางาฮิโกะ อิโตะมาต้อนรับที่ล็อบบี้โรงแรมด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเธอก็พาไปยังห้องพักของนางาฮิโกะ อิโตะ

เพียงแต่ว่า นางาฮิโกะ อิโตะในตอนนี้ กำลังนวดผ่อนคลายอยู่ที่สปาเซนเตอร์ และห้องของเขาคนที่กำลังรอพบกับซูจือหยู ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเย่เฉินนั่นเอง

เอมิ อีโตะกดกริ่งหน้าห้อง หลังจากนั้นค่อยผลักประตูเข้าไป แล้วกล่าวกับเย่เฉินอย่างนอบน้อมว่า“คุณเย่คะ คุณซูมาแล้วค่ะ”

เย่เฉินพยักหน้า“ขอบคุณครับคุณผู้หญิงอิโตะ”

เอมิ อีโตะรีบกล่าวว่า“คุณเย่เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ!ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณคุยกับคุณซูได้ตามสบายเลยค่ะ”

พูดจบ เธอก็ถอยหลังออกไป แล้วส่งจือหยูเข้าไปในห้อง

ตั้งแต่วินาทีที่ซูจือหยูเดินตามเอมิ อีโตะเดินเข้ามาในห้อง หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ

ตอนนี้ พอเห็นเย่เฉินที่นั่งอยู่บนโซฟา หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นไปอีก

เธอโค้งตัวด้วยความประหม่าและดีใจ พลางกล่าวว่า“ผู้มีพระคุณคะ……”

เย่เฉินยิ้มเบาๆ หลังจากที่เชิญเธอนั่งบนโซฟาแล้ว ก็พูดกับเธอว่า“สองวันนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ซูจือหยูรีบตอบว่า“ก็ดีค่ะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของผู้มีพระคุณนะคะ……”

เย่เฉินพยักหน้า แล้วถามเธอว่า“ผมได้ยินมาว่าคุณไปขอบริษัทขนส่งทางทะเล มาจากในมือปู่ของคุณหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ”ซูจือหยูกล่าว“คุณให้ฉันเป็นผู้นำของตระกูลซูให้ได้ภายในสามปี ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องก้าวออกไปก่อน”

เย่เฉินพูดอย่างเห็นด้วยว่า“หมากของคุณเดินได้ดีมากเลยครับ สำหรับคุณแล้ว ถือว่าได้รับผลประโยชน์มากเลยล่ะ”

ซูจือหยูพูดอย่างไม่อาจปิดบังความเขินอายได้ว่า“ขอบคุณสำหรับคำชมของผู้มีพระคุณค่ะ……”

เย่เฉินถามเธอว่า“แล้วต่อไปคุณจะทำยังไงต่อไปครับ?ปัจจุบันบริษัทขนส่งทางทะเลของตระกูลซูถูกสั่งหยุด ถ้าคุณไม่รีบดำเนินการหาทางออก ดีไม่ดีกิจการนี้อาจจะเสียหายในมือได้”

“ใช่ค่ะ”ซูจือหยูกล่าว“เดิมทีฉันอยากคุยกับผู้มีพระคุณสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าผู้มีพระคุณจะติดต่อฉนมาก่อน อันที่จริงฉันคิดจะขายบริษัทขนส่งทางทะเลแล้วเปลี่ยนเป็นเงินสด หลังจากนั้นค่อยเอาเงินสดเปลี่ยนเป็นทุนทรัพย์ไปทำธุรกิจอย่างอื่น……”

“แต่จากนั้นฉันได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถ้าฉันขายบริษัทขนส่งทางทะเลของตระกูลซูไป ปู่ของฉันจะต้องเกลียดฉันมากแน่ๆ คนของตระกูลซูก็จะต้องเห็นฉันเป็นศัตรู ถ้าเป็นแบบนั้น ชาตินี้ฉันก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำของตระกูลซูอีก……