คำพูดต่อว่าของเซียวเวยเวยทำให้นายหญิงใหญ่เซียวขาอ่อน จนทรุดลงกับพื้น
เธอไม่คาดฝันเลยว่า กุ้ยเหรินที่ช่วยครอบครัวของเธอให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง จะเป็นคนเดียวกันกับเย่เฉินที่เธอเอาแต่ดูถูก และหาโอกาสเอาคืน
ความจริงนี้เปรียบเสมือนแรงสั่นสะเทือนจากแรงระเบิดของจักรวาล
เพราะเธอคิดว่า กุ้ยเหรินของเซียวเวยเวยจะเป็นใครก็ได้บนโลกนี้ แต่ไม่มีทางเป็นเย่เฉินแน่นอน
แต่ทว่าความจริงกลับกลายมาเป็นอย่างนี้
คนที่ช่วยดึงเซียวเวยเวยออกมาไม่ให้ตกหลุมพรางขายบริการ คนที่มอบบริษัทโมเดลลิ่งซ่างเหม่ยให้เซียวเวยเวยดูแล ดันเป็นเขาคนนี้
ในเวลานี้นายหญิงใหญ่เซียวทั้งหวาดกลัวและหวาดหวั่น ลึกในใจของเธอสำนึกขึ้นมาได้ว่า “ที่ฉันพูดกับเย่เฉินเมื่อกี้มันร้ายแรงมากเกินไป ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเย่เฉินโกรธมากแค่ไหน…เขาจะเฉดหัวเวยเวยออกจากบริษัทโมเดลลิ่งซ่างเหม่ยเพราะโกรธฉันหรือเปล่านะ?!ความหวังทั้งหมดของครอบครัวตอนนี้ขึ้นอยู่กับเธอคนเดียว ถ้าหากเวยเวยตกงานล่ะก็ ครอบครัวจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมเหรอ?!พอถึงเวลานั้น ฉันก็ต้องกลับไปแยกถุงพลาสติกเหมือนเดิมใช่ไหม?”
เมื่อคิดถึงผลที่อาจจะตามมาหลังจากไปทำให้เย่เฉินไม่พอใจ นายหญิงใหญ่เซียวจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบสอพลอและโทษตัวเอง คร่ำครวญอย่างรู้สึกผิดว่า “เฮ้อ….เย่เฉิน….ย่ามันมีตาหามีแววไม่ ย่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแกจะมองข้ามความโกรธแค้น ยอมช่วยเหลือเวยเวย และพวกฉันมากถึงขนาดนี้…..”
พูดมาถึงตรงนี้ นายหญิงใหญ่ก็น้ำตาไหลสะอื้นไห้ออกมา “แกอุตส่าห์มองข้ามความโกรธแค้นยอมช่วยเหลือพวกฉัน แต่คนแก่นิสัยแย่อย่างฉัน กลับไม่ยอมละทิ้งความเคียดแค้น ถ่อมาพูดจาไม่ดีกับแกในวันเกิดของแกถึงที่นี่ ฉันมันตามืดตามัว….แกอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย เห็นแก่ที่ฉันแก่จนอายุปูนนี้แล้วก็ได้ อย่าถือสาเอาความกับย่าเลยนะ ได้ไหม?”
เมื่อเย่เฉินเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของนายหญิงใหญ่เซียว ก็อดที่จะทอดถอนหายใจออกมาใจไม่ได้ “นายหญิงใหญ่ไม่เก่งเรื่องอื่น แต่เรื่องแสดงนี่สุดยอดไปเลย เปลี่ยนอารมณ์ได้ไวจริงๆ เข้าถึงบทบาทได้ดีกว่านักแสดงเสียอีก!ถ้าเธอแบ่งความสามารถทางด้านนี้ไปให้ด้านอื่นๆที่สำคัญบ้าง ป่านนี้บริษัทเซียวซื่อก็คงไม่ตกอับอย่างนี้หรอก”
แต่ถึงยังไงนายหญิงใหญ่เซียวก็อายุมากแล้ว เย่เฉินเองก็ไม่อยากเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำตัวโหดเหี้ยมอำมหิตกับเธอ ในเมื่อเธอยอมลงให้แล้ว เขาเองก็ควรยอมลงให้เธอเหมือนกัน
ดังนั้น เขาจึงเอ่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เอาล่ะ พูดพร่ำมาเยอะแล้ว ไหนๆคุณก็เป็นย่าของชูหรัน ผมไม่ถือสาหาความกับคุณก็ได้ แต่ว่าต่อไปนี้คุณต้องจำเอาไว้ ว่าให้ต่างคนต่างอยู่ คุณแล้วก็ครอบครัวของคุณห้ามมาสร้างความวุ่นวายและความไม่สบายใจให้ครอบครัวของผมอีก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมไม่ใจดีอย่างนี้แน่!”
เมื่อนายหญิงใหญ่เซียวได้ยินแบบนี้ ก็ถอนหายใจออกมาทันที
ตอนนี้เธอรู้สำนึกแล้ว ว่าหลักประกันความปลอดภัยชีวิตของครอบครัวตัวเอง ล้วนแล้วแต่มาจากเย่เฉินทั้งหมด ถ้าตัวเองยังไม่รู้จักสำนึกล่ะก็ ครอบครัวของเธอคงต้องไปขอข้าวกินอย่างหิวโหยอยู่บนถนนแน่ๆ
ดังนั้น เธอจึงรีบพยักหน้ารัวๆเหมือนไก่จิกข้าว เอ่ยรับประกันว่า “เย่เฉินแกวางใจได้ ต่อไปนี้ย่าจะไม่มาสร้างความไม่สบายใจให้แกอีกแล้ว!”
พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็เอ่ยพูดยิ้มๆอย่างประจบว่า “เย่เฉิน ไหนๆเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อดีตก็เป็นแค่การเข้าใจผิดที่ไม่พูดคุยกันให้เคลียร์ ถ้าเคลียร์กันเข้าใจแล้ว ทุกคนก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกัน แกเป็นหลานเขยของฉัน ชูหรันเป็นหลานสาวของฉัน ฉางควานกับหม่าหลันก็เป็นลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉัน พวกเราต่างก็มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกันทั้งนั้น”
นายหญิงใหญ่เซียวในตอนนี้ ฉีกยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย น้ำเสียงอ่อนลง “นี่ย่าก็ชดใช้ และขอโทษแกแล้ว ถึงเวลาที่ครอบครัวของเราสองคนจะกลับมาคืนดีกันเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของแกพอดีเลย ถือโอกาสในวันดีๆแบบนี้ ให้ทั้งสองครอบครัวรวมตัวกันทานข้าว เพื่อปรับความเข้าใจกันดีไหม?”