ซูจือหยูรีบเอ่ยว่า: “เมื่อกี้ฉันโทรหาคุณปู่ ตอนแรกว่าจะถามอ้อมๆ กับเขาสักหน่อยว่าเขารู้จักซีเรียและสำนักว่านหลงมากแค่ไหน ถึงอย่างไรฉันก็เคยได้ยินชื่อสำนักว่านหลงนี่เป็นครั้งแรก เขาเป็นคนบอกฉันเรื่องเหล่านี้เองค่ะ” เย่เฉินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ: “ซูเฉิงเฟิงกับสำนักว่านหลงยังติดต่อกันอยู่อย่างนั้นเหรอ?” “เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” ซูจือหยูเอ่ย: “เมื่อก่อนฉันไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงสำนักว่านหลงมาก่อน แต่ในสายเมื่อกี้นี้ ท่าทางของเขามีความตื่นเต้นกับสำนักว่านหลงอยู่พอสมควร อารมณ์ค่อนข้างที่จะคึกคักทีเดียว” “แปลกจัง” เย่เฉินขมวดคิ้ว: “สำนักว่านหลงพัฒนาอยู่ในเขตสงครามวุ่นวายมาโดยตลอด ในประเทศประเทศสงบสันติ ประชาอยู่เย็นเป็นสุข คนธรรมดาไม่ค่อยมีโอกาสทราบชื่อของพวกเขาเท่าไรเลย ซูเฉิงเฟิงทำไมรู้เยอะขนาดนี้ แม้แต่รายละเอียดด้านการร่วมมือของสำนักว่านหลงกับซีเรียก็ยังรู้ด้วย?” ซูจือหยูเอ่ย: “บางทีเขาอาจจะมีช่องทางที่ค่อนข้างสันทัดกรณีละมั้งคะ” เย่เฉินพยักหน้า ดูผิวเผินแล้วแลดูไม่สนใจปัญหานี้ต่อแล้ว ทว่าภายในใจของเขากลับรู้สึกว่า ซูเฉิงเฟิงและสำนักว่านหลงจำต้องมีความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่งแน่นอน ดังนั้น เขาจึงได้เตือนตัวเองอยู่ในใจ ว่าต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน จากนั้น เย่เฉินจึงเอ่ยกับซูจือหยู: “เท่าที่ฉันทราบ พ่อของเธอตอนนี้ถือว่าปลอดภัยดี ต่อให้สำนักว่านหลงต้องการที่จะโจมตีฮามิด อย่างน้อยก็ต้องเตรียมการเป็นเวลามากกว่าครึ่งปี ในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมสำหรับผู้พลีชีพจำนวนมากกว่าหมื่นรายไปด้วย นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมตอนนี้พวกเขาแค่อ้อมล้อมฮามิดไว้แต่ไม่โจมตี ดังนั้นเธอยังไม่ต้องกังวลใจตอนนี้หรอก” ซูจือหยูเอ่ยถามด้วยสีหน้าอ้อนวอน: “ผู้มีพระคุณ ขอร้องคุณให้พ่อฉันกลับมาเถอะค่ะ แม้ว่าเขาจะทำเรื่องผิดมากมาย แต่ถึงอย่างไรโทษของเขาก็ไม่ถึงขั้นต้องตาย ต่อให้คุณจะให้เขากลับจินหลิง ขังไว้ที่ป๋ายจินฮ่านกงก็ยังได้…” เย่เฉินเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ลังเลสักนิด: “เป็นไปไม่ได้ ในสายตาฉัน ซูโสว่เต้าไม่ใช่ไม่มีโทษถึงขั้นตาย แค่เรื่องที่เขาก่อตั้งพันธมิตรต่อต้านตระกูลเย่ในปีนั้น ฉันก็สามารถฆ่าเขาทิ้งได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว ที่เหลือชีวิตให้เขาสุดท้ายนี้ ก็เพราะเห็นแค่หน้าเธอและซูรั่วหลีพวกเธอสองพี่น้องเท่านั้น” ซูจือหยูเอ่ยด้วยดวงตาที่แดงก่ำ: “พ่อของฉันทำเรื่องที่ผิดไว้มากมายจริงๆ และต้องการให้เขาชดใช้ให้กับสิ่งที่เขาทำผิดไป แต่ว่าสถานที่อย่างซีเรียนั่นมันอันตรายเกินไปจริงๆ ในข่าวรายงานว่าที่นั่นมีสงครามขึ้นก็ทำให้คนตายและบาดเจ็บหลายพันคนเลย ฉันกลัวว่าเขาจะรอไม่ถึงตอนที่ฉันกลายเป็นผู้นำตระกูลตระกูลซูสำเร็จ ก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขาไปก่อนแล้ว…” เย่เฉินมองหน้าซูจือหยู เอ่ยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม: “ทุกคนต้องแบกรับความเสี่ยงสำหรับเรื่องที่ตัวเองทำลงไป พร้อมชดใช้มัน ฉันส่งพ่อของเธอไปที่ซีเรีย นั่นเป็นบทลงโทษที่ฉันให้เขา ถ้าในช่วงเวลาที่เขารับบทลงโทษนี้ประสบกับภัยพิบัติที่ไม่อาจควบคุมได้ ถ้างั้นก็คงพูดได้แค่ว่าดวงของเขาไม่ดีเท่านั้น” ซูจือหยูอยากที่จะตื้อเย่เฉินต่อไป ทว่าลังเลเป็นเวลาชั่วครู่ก็ตัดสินใจล้มเลิกไป เธอมองเย่เฉิน เอ่ยถาม: “ผู้มีพระคุณ คุณบอกว่าวันเช็งเม้งจะให้พ่อของฉันไปขอโทษที่สุสานพ่อแม่คุณ ยังบอกอีกว่าจะให้เขาเซ็นใบหย่ากับแม่ฉันเมื่อใกล้ถึงเวลา แต่ตอนนี้ฐานของฮามิดนั่นถูกสำนักว่านหลงล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว คนของสำนักว่านหลงแทบต้องการฆ่าพวกเขาทิ้งทั้งหมด สถานการณ์แบบนี้พ่อของฉันยังออกมาได้อยู่หรือเปล่า?” “ออกมาได้” เย่เฉินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ: “ถ้าสำนักว่านหลงไม่หยุดการล้อมฮามิด ถ้างั้นฉันจะไปซีเรียเองแล้วพาตัวเขากลับมา” ซูจือหยูได้ยินดังนั้น ดวงตาสวยงามคู่นั้นก็สว่างขึ้นทันที ราวกับมองเห็นความเห็นอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่เธอกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เย่เฉินก็ถามขึ้นอีกครั้ง: “แต่ว่าฉันจะส่งเขากลับไป หลังจากเรื่องจบลง” “คุณ…” ซูจือหยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยบ่น: “ผู้มีพระคุณ ในเมื่อคุณตัดสินใจพาเขากลับมาจากซีเรียของแล้ว แล้วทำไมต้องเสี่ยงพาเขากลับไปด้วยล่ะ ตัวคุณเองไม่กลัวอันตรายเลยเหรอ?” เย่เฉินเอ่ย ด้วยสีหน้าเย็นชาสุดขีด: “ที่ไหนก็มีอันตรายหมดนั่นแหละ แต่ฉันไม่มีทางเปลี่ยนอุดมการณ์ณ์เพราะเป็นกังวลว่าจะอันตรายเด็ดขาด!”