ซูจือหยูมองแววตาที่แน่วแน่ของเย่เฉิน ก็ถอนหายใจอยู่ลึกๆ ในใจ  

ในเวลานี้ ภายในก้นบึ้งในใจของเธอมีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาลึกๆ  

อันที่จริง เธอก็ทราบว่าเย่เฉินเอ่ยนั้นเป็นความจริง หากไม่เห็นแก่หน้าเธอและซูรั่วหลี พ่อของเธอซูโสว่เต้าก็คงไม่มีโอกาสที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ที่ซีเรียได้  

การที่ไปที่ซีเรียได้นั้น ก็เป็นพระคุณของเย่เฉินแล้ว  

ตอนนี้ตนยังไปอ้อนวอนขอให้เย่เฉินถอยให้หนึ่งก้าว ช่างเป็นเรื่องที่เกินสมควรเสียจริง  

ดังนั้น เธอจึงเอ่ยกับเย่เฉินด้วยความรู้สึกผิดว่า: “ขอโทษด้วยค่ะผู้มีพระคุณ ฉันผิดเอง ตอนนั้นที่คุณตัดสินใจเรื่องนี้ ฉันก็ยอมรับเงื่อนไขสามปีของคุณแล้ว ไม่ควรที่จะมาขอร้องให้คุณถอยหนึ่งก้าวในเวลานี้…”  

เย่เฉินโบกไม้โบกมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของเธอ การที่เธอขอร้องให้เห็นใจเขาก็เป็นเรื่องปกติ”  

สิ้นเสียง เขาก็มองเวลา เอ่ยว่า: “เอาล่ะ พูดกันพอเท่านี้เถอะ งานแถลงข่าวใกล้จะเริ่มแล้ว เธอต้องไปเตรียมตัวอีก”  

“ค่ะ!” ซูจือหยูพยักหน้า เอ่ยว่า: “เดี๋ยวฉันขอไปทวนบทการแถลงกับคุณอิโตะก่อนสักรอบ”  

เย่เฉินในเวลานี้คิดอยู่ในใจว่า: “เห็นทีว่าสองวันนี้ฉันต้องไปซีเรียสักครั้งซะแล้ว!”  

เย่เฉินคิดว่า หากตนไปที่ซีเรียนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง  

เขาสามารถใช้วิธีกระโดดร่มระดับต่ำเหมือนอย่างครั้งที่แล้วได้ เขาเชื่อว่าจะต้องสามารถผ่านการล้อมของสำนักว่านหลงได้อย่างสบายแน่นอน  

ทว่า ถ้าหากเขาต้องการที่จะนำตัวซูโสว่เต้าออกมา ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นคนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายโดยสิ้นเชิง  

ดังนั้นไปให้เร็วสักหน่อย จะได้มีเวลาในการเตรียมตัวเยอะหน่อย ดูว่าจะมีวิธีการที่ดีอะไรหรือไม่  

มิเช่นนั้นหากขัดจังหวะพิธีบูชาบรรพบุรุษไป ไม่สามารถให้ซูโสว่เต้าไปสำนึกผิดต่อหน้าสุสานของพ่อแม่ได้ แล้วตนจะบอกกับพ่อแม่ตนอย่างไร?  

อีกทั้ง อย่างน้อยๆ เย่เฉินก็มีความกังวลใจเล็กน้อย การคุ้มกันของฮามิดจะสามารถต่อต้านการจู่โจมของทหารนับสองหมื่นนายของสำนักว่านหลงได้หรือไม่  

หากว่าหลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งแล้ว สำนักว่านหลงเห็นว่าการล้อมไว้ไม่สำเร็จ จนไร้สติไป ยอมที่จะชดใช้ด้วยคนนับพันนับหมื่นรายทำลายฮามิดพร้อมกับทหารรัฐบาล เช่นนั้นฮามิดก็ไม่แน่ว่าจะรับไหวจริงๆ  

ดังนั้นตนเร่งจัดการสองเรื่องให้เสร็จโดยเร็ว ป้องกันเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก!  

……  

เย่เฉินและซูจือหยูมายังห้องรับรองแขกวีไอพีพร้อมกัน อิโตะ นานาโกะ ซ่งหวั่นถิงรวมถึงเฮ่อจือชิว ในเวลานี้ล้วนนั่งกันอยู่บนโซฟา  

อิโตะ นานาโกะหยิบใบสคริปต์ขึ้นมา กำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับเฮ่อจือชิวอยู่ เมื่อเห็นเย่เฉินเข้ามา ภายในดวงตาอยู่ๆ ก็มีความชอบผุดขึ้นมา รีบลุกขึ้นมา ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า: “เย่เฉินซัง คุณมาแล้วเหรอคะ!”  

เย่เฉินยิ้มส่งให้เธอเล็กน้อย จากนั้นเฮ่อจือชิวก็ลุกขึ้นตาม พร้อมเอ่ยด้วยความเขินอายเล็กน้อย: “คุณเย่ คุณมาแล้วเหรอคะ…”  

ซ่งหวั่นถิงเห็นเย่เฉิน ก็ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างสุภาพเช่นเดียวกัน: “อาจารย์เย่คุณมาแล้วเหรอคะ!”  

เย่เฉินยิ้มพร้อมพยักหน้าให้กับสาวๆ พร้อมเอ่ยว่า: “อีกสักครู่จะต้องลำบากทุกท่าน จัดงานแถลงข่าวนี้ให้ดีๆ แล้วนะครับ บริษัท นานาซูขนส่ง จำกัดของพวกเรา มีหุ้นส่วนสาวสวยสองคน CEO คนสวยหนึ่งคน แล้วก็ยังมีพาร์ทเนอร์กลยุทธ์หนึ่งคน พวกคุณสาวสวยทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนเป็นหญิงงามที่สุดในแผ่นดิน เชื่อว่างานแถลงข่าวในวันนี้จะต้องทำให้ผู้คนตราตรึงไม่ลืมอย่างแน่นอน!”  

ซ่งหวั่นถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เอ่ยว่า: “อาจารย์เย่ คุณชมพวกเราเกินไปแล้วค่ะ ถ้าจะบอกว่าสาวสวยที่สุดในแผ่นดิน พวกเขาทั้งสามคนใช่ แต่ว่าฉันอายุมากแล้ว ไม่เหมาะสมกับคำนี้หรอกค่ะ…อีกทั้งวันนี้ฉันก็แค่มาร่วมเป็นตัวประกอบด้วยเท่านั้นเอง ตัวหลักคือพวกเขาสามคนต่างหาก”  

อิโตะ นานาโกะรีบเอ่ยขึ้นทันที: “พี่หวั่นถิงถ่อมตัวเกินไปแล้วค่ะ ในพวกเราทั้งสามคน มีแค่พี่คนเดียวที่มีความเป็นกุลสตรี ถ้าจะให้พูดว่าสาวสวยที่สุดในแผ่นดิน ฉันว่ามีแค่พี่คนเดียวเท่านั้นแหละค่ะ!”  

ซ่งหวั่นถิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “โธ่ๆ นานาโกะวันเวลาที่เธออยู่ที่หัวเซี่ยนี้ ไม่เรียนรู้อะไรเลย แต่ความสามารถให้การพูดมารยาทในสังคมเนี่ยเยี่ยมยอดจริงๆ เลยนะ!”  

อิโตะ นานาโกะกะพริบตาอย่างซุกซน ยิ้มแฉ่งพร้อมเอ่ยว่า: “ครูผู้เลื่องชื่อก่อเกิดศิษย์ผู้สูงส่งนี่คะ เรียนรู้ความสามารถกับพี่หวั่นถิงทั้งวัน แน่นอนว่าฉันจะต้องมีความพัฒนาน่ะสิ!”  

เย่เฉินยิ้มพร้อมเอ่ยว่า: “พวกคุณเลิกชมกันเองได้แล้ว อีกสักพักถ้าเข้างานแถลงการณ์แล้วยังไม่ปกติแบบนี้ คนภายนอกต้องคิดว่าบริษัท นานาซูขนส่ง จำกัด บริษัทนี้เชื่อถือไม่ได้แน่นอน