เมื่อเห็นกู้ชิวอี๋ เย่เฉินก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเร่งฝีเท้าก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ แล้วถามอย่างยิ้มๆว่า“มานานรึยัง?” กู้ชิวอี๋ก้าวไปข้างหน้าควงแขนเขา แล้วแกว่งไปมา พลางหัวเราะยิ้มแย้มกล่าวว่า“ไม่นานเท่าไรค่ะ พึ่งดูหนังไปครึ่งเรื่องเอง” พูดจบ เธอก็รีบดึงเย่เฉินไปทางรถ แล้วบ่นว่า“คุณพ่อกับคุณแม่ทำอาหารเต็มโต๊ะเลยค่ะ รอต้อนรับพี่กันอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ!เรารีบกลับกันเถอะค่ะ!” เย่เฉินพูดอย่างยิ้มๆว่า“ไม่ต้องรีบก็ได้ เหล่าเฉินยังอยู่ข้างหลัง ฉันขอคุยกับเขาก่อน” กู้ชิวอี๋ในเวลานี้พึ่งเห็นเฉินจื๋อข่ายที่กำลังเดินลงจากบันไดเครื่องบิน เธอจึงกล่าวอย่างเขินๆว่า“ขอโทษนะคะผู้จัดการทั่วไปเฉิน ฉันไม่ได้สังเกตเห็นคุณด้วย!” เฉินจื๋อข่ายรีบกล่าว“คุณกู้พูดเกินไปแล้วครับ เวลาแบบนี้ ในสายตาของคุณจะมีคนอื่นๆได้ยังไงกันล่ะ” เมื่อกู้ชิวอี๋ได้ยินอย่างนั้น แก้มของเธอก็ร้อนฉ่า แต่เธอก็ยังคงชูนิ้วโป้งให้กับเฉินจื่อข่าย แล้วกล่าวชื่นชมว่า“สมกับเป็นผู้จัดการทั่วไปเฉินจริงๆ พูดเก่งจริงๆ!” พูดจบ เธอก็พูดขึ้นมาอีกว่า“ผู้จัดการทั่วไปเฉินคะ พ่อกับแม่ฉันรอพี่เย่เฉินอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ เราขอตัวก่อนนะคะ!” เฉินจื๋อข่ายพยักหน้า แล้วพูดอย่างยิ้มๆว่า“คุณกู้ครับระหว่างทางขับรถระวังๆนะครับ” เมื่อพูดจบ รถโรลส์-รอยส์สีดำแปดคันก็เข้ามาจอดในโรงเก็บเครื่องบิน รถทั้งแปดคันนี้จอดขวางเป็นหน้ากระดาน โดยแต่ละคันมีกระจังหน้ารูปทรงศาลเจ้าของโรลส์-รอยซ์สุดคลาสสิกที่ด้านหน้า รวมถึงนางอัปสรที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ หลังจากนั้นไม่นาน รถทั้งแปดคันก็พากันเปิดออก นอกจากบอดี้การ์ดที่สวมชุดสีดำของตระกูลเย่ ถังซื่อไห่ เย่เฟิง เย่เห้า รวมถึงเฮเลน่า ทุกคนต่างพากันเดินลงมาจากรถ เมื่อถังซื่อไห่เห็นเย่เฉิน เขาก็รีบก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมว่า“คุณชายเฉินครับ เดินทางมาเหนื่อยไหมครับ!” ถังซื่อไห่พึ่งพูดจบ เย่เฟิงก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วใช้มือขวางอยู่ข้างหน้าของเขา แล้วมองเย่เฉินอย่างยิ้มๆ พลางกล่าวว่า“นายคงเป็นเย่เฉิน ลูกพี่ลูกน้องที่น่าสงสารร่อนเร่พเนจรอยู่ต่างประเทศ ไม่มีบ้านให้กลับของฉันใช่ไหม?” เย่เฉินขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เขา พลางกล่าวถามอย่างเมินเฉยว่า“คุณเป็นใคร?” เย่เฟิงหัวเราะ แล้วกล่าวว่า“น้องชาย นายจากบ้านไปนานเกินไปแล้ว แม้แต่ฉันก็จำไม่ได้แล้วหรอ?ฉันคือเย่เฟิง ลูกพี่ลูกน้องของนายยังไงกันล่ะ!” พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าเดินมายังเย่เฉิน กางมือทั้งสองข้างออกแล้วใช้แรงกอดเย่เฉิน พลางพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วยว่า“น้องชายที่รัก ในที่สุดนายก็กลับมา!นายไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ เราเป็นห่วงนายแค่ไหน!หลายปีมานี้ นายคงลำบากมากสินะ!แต่นายวางใจเถอะ จากนี้ไปพี่ใหญ่จะดูแลนายอย่างดี เพื่อทดแทนหลายปีมานี้ที่นายต้องใช้ชีวิตลำบากอยู่ข้างนอก!” เย่เฉินพูดอย่างเรียบเฉยว่า“งั้นคงลำบากพวกคุณมากแล้วที่คิดถึงเรื่องผม” เย่เฟิงโบกมือไปมา“โธ่ เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าพูดห่างเหินเลย!นายกลับมาได้ เราก็ดีใจ!เพราะฉะนั้นพอได้ยินว่านายจะมาวันนี้ ฉันกับเห้าเห้าเลยรีบมารับนายยังไงล่ะ” พูดจบ เขาก็ดึงเย่เห้าเข้ามา แล้วพูดอย่างยิ้มๆว่า“นี่คือน้องชายของนาย เป็นลูกชายของอาสาม เย่เห้า ตอนที่นายออกไป เขายังอยู่อนุบาลอยู่เลย” เย่เห้ามองไปที่เย่เฉิน แล้วหัวเราะแหะๆพลางกล่าวว่า“พี่รอง ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสเจอพี่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเราจะได้พบเจอกันอีกครั้ง” เย่เฉินพูดอย่างยิ้มๆว่า“แกพูดอะไรกันน่ะ เย่เฉินตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก เขาไม่ได้ตายสักหน่อย” “ใช่ๆๆ!”เย่เห้ารีบพยักหน้าแล้วพูดว่า“พี่ใหญ่พูดถูก พี่รองอย่าแปลกใจไปเลยนะครับ ผมชอบพูดเล่น ผมพึ่งเรียนMBAปริญญาโทกลับมาจากอเมริกา ไม่ได้เรียนต่อปริญญาเอก การศึกษาไม่สูง ถ้าผมพูดผิดอะไรไปพี่อย่าถือสาเลยนะครับ” เย่เฉินพยักหน้าอย่างยิ้มๆ เขารู้ดีว่าวันนี้ที่สองพี่น้องมารับตนเองไม่ได้หวังดีอะไรหรอก คนหนึ่งประชดที่ตนเองร่อนเร่พเนจรอยู่ต่างประเทศมายี่สิบปี คนหนึ่งประชดที่ตนไม่ได้เคยได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่ เรื่องพวกนี้สำหรับเย่เฉินแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ถึงพ่อของพวกเขาสองคนจะยืนอยู่ตรงนี้ เย่เฉินก็ไม่มองพวกเขาหรอก ดังนั้นจึงไม่เห็นตัวตลกอย่างสองพี่น้องอยู่ในสายตา