เย่ฉางหมิ่นเห็นว่าเฮเลน่าปฏิเสธข้อเสนอการตรวจของแพทย์โดยไม่ลังเล อีกทั้งสีหน้ายังมีความวิตกกังวลกับความตื่นเต้น จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย โดยปกติแล้ว มีแค่คนจน หรือคนที่ไม่ได้มีฐานะขนาดนั้น ถึงจะกลัวการพบแพทย์ เพราะพวกเขารู้มาตั้งแต่เด็กว่า การพบแพทย์ จะต้องไปหาภายใต้การที่ตนเองป่วยเท่านั้น เป็นเพราะการหาหมอมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ฉีดยาก็ต้องกินยา ดังนั้นจึงทำให้พวกเขามีความทรงจำไม่ดีกับหมอ จึงอดที่จัรู้ประหม่าเมื่อเอ่ยถึงหมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่เกิดในครอบครัวแบบนี้ ถึงจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังคงมีความกลัวหมออยู่ ในชีวิตประจำวัน จึงมีหลักการที่ว่าถ้าไม่เป็นอะไรก็อย่าพยายามไปโรงพยาบาล แต่เฮเลน่าไม่ใช่คนจน เธอเป็นคนรุ่นหลังของราชวงศ์ยุโรปที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี โดยปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ หรือสมาชิกในตระกูลที่มั่งคั่งและผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ จะต้องมีนิสัยติดต่อไปมาหาสู่กับหมอตั้งแต่เด็ก ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเย่ ไม่เพียงแต่มีทีมแพทย์ดูแลสุขภาพของตัวเอง ยังมีโรงพยาบาลเอกชนเป็นของตัวเองอีกด้วย นอกจากสมาชิกในตระกูลเย่อย่างเย่เฉินที่จากบ้านไปตั้งแต่เด็ก สมาชิกคนอื่นๆในตระกูลเย่ จะต้องตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละสองถึงสามครั้ง โดยเฉพาะคนรุ่นหลังที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องตรวจทุกๆหนึ่งถึงสองเดือน แพทย์ด้านการดูแลสุขภาพจะทำการตรวจร่างกายและประเมินการเจริญเติบโตและการพัฒนา หากรู้สึกไม่สบาย ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเอง แต่ทั้งทีมแพทย์จะมาให้บริการถึงที่ จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้น เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่เพียงแต่ไม่กลัวหมอ ในทางกลับกันยังต้องการพึ่งหมอมาก แค่ตัวร้อนปวดหัวเป็นไข้ ก็แทบอยากจะเรียกหมอส่วนตัวมาดูแลตลอด24ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เอง เย่ฉางหมิ่นจึงค่อนข้างแปลกใจ เธอมักรู้สึกว่าการแสดงออกถึงการกลัวหมอ จะต้องมีความลับอะไรซ่อนไว้แน่ ดังนั้น เธอจึงจงใจพูดอย่างยิ้มๆว่า“เฮเลน่า เธอไม่ต้องตื่นเต้นหรอก หมอแค่ตรวจร่างกายเธอปกติ ไม่ได้ฉีดยาหรือกินยา มันน่ากลัวยังไงหรอ?อย่างมากก็แค่เจาะเลือดไม่กี่หลอดกลับไปทำแบบทดสอบ ดูว่ามีความผิดปกติอะไรรึเปล่า เธอน่ะทำใจให้สบายๆเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก!” พูดจบ เธอไม่รอให้เฮเลน่าได้ตัดสินใจอะไร ก็รีบหันหลัง แล้วสั่งกับถังซื่อไห่ว่า“พ่อบ้านถัง คุณรีบไปเรียกหมอมาเถอะ เราต้องเร็วๆหน่อย ห้ามรบกวนเวลาพักผ่อนของเฮเลน่า” ถึงซื่อไห่กล่าวอย่างไม่ลังเล“ได้ครับคุณหนูใหญ่ ผมจะไปเชิญพวกเธอเข้ามาเดี๋ยวนี้เลยครับ” เฮเลน่ารู้สึกประหม่ามาก เธอรีบพูดขึ้นมาว่า“คุณผู้หญิงเย่คะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆค่ะ แค่พักผ่อนก็หายแล้วค่ะ ไม่รบกวนให้คุณเคลื่อนทัพขนาดนี้!” เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างยิ้มๆ“เห้อ!อีกไม่นานเธอจะต้องแต่งงานเข้าบ้านคนอื่นแล้วนะ จากนี้ไปเธอก็จะเป็นหลานสะใภ้ของฉัน เกรงใจกับอาทำไมกัน?อีกอย่าง ไหนๆฉันก็มาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญก็มากันแล้ว เธออย่าคิดมากเลย ทำใจให้สบายๆแล้วตรวจร่างกายของพวกเธอเถอะ ใช้เวลาไม่นานหรอก” พูดจบ เย่ฉางหมิ่นก็พูดอย่างเอาใจใส่ว่า“เฮเลน่า เธออย่ารู้สึกกดดันไปเลยนะ วันนี้เราพาหมอผู้หญิงมาทั้งหมดเลย อีกเดี๋ยวตอนที่ตรวจร่างกาย ฉันกับพ่อบ้านถังจะออกไป” ยิ่งเย่ฉางหมิ่นแสดงให้เห็นว่าเอาใจใส่มากแค่ไหน เฮเลน่าก็รู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้น เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร “จากความแข็งแกร่งและตำแหน่งฐานะของตระกูลเย่ ถ้าพวกเขารู้ว่าตนป่วยเป็นโรคที่ไม่รักษาไม่หาย อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี พวกเขาจะต้องไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้อย่างแน่นอน……” “พูดตรงๆก็คือ ขอแค่วันนี้เธอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เย่ฉางหมิ่นมาด้วยวันนี้ตรวจร่างกาย ฉันจะต้องถูกตระกูลเย่ยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้อย่างแน่นอน……” “ถ้าพูดกันอย่างใจเย็น ฉันกับเย่เฟิงไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน และก็ไม่อยากแต่งงาน เป็นภรรยาของเขาด้วย……” “แต่ว่า ตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้ ถ้าฉันไม่แต่งงานกับเย่เฟิง บั้นปลายชีวิตของมาฉันก็จะไม่ได้รับกันประกันใดๆทั้งสิ้น……” “เธอแต่งงานเข้ามาอยู่ในราชวงศ์มายี่สิบกว่าปี ไม่มีงานทำ และไม่มีประกันสังคม ประกันสุขภาพ กระทั่งไม่มีทรัพย์สินใดๆทั้งสิ้น เธออยู่ในราชวงศ์ อย่างน้อยราชวงศ์ก็ยังให้อาหารที่พักและเครื่องนุ่งห่มกับเธอ ได้รับการรักษาฟรีจากราชวงศ์รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าหากถูกราชวงศ์ขับไล่ออกมา บั้นปลายชีวิตของเธอก็จะสูญเสียการประกันไปทั้งหมด……” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮเลน่าก็ทำได้เพียงแค่ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้น แล้วพูดอย่างไม่พอใจออกไปว่า“คุณผู้หญิงเย่คะ ฉันรู้ว่าคุณหวังดี แต่จู่ๆคุณก็พาผู้เชี่ยวชาญยกโขยงกันมา เพื่อบังคับให้ฉันตรวจร่างกาย นี่มันดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยมั้งคะ?ถึงแม้ฉันจะแต่งงานกับเย่เฟิง กลายเป็นสะใภ้ของตระกูลเย่ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังมีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”