“สำนักว่านหลง?!” เมื่อได้ยินประโยคนี้ เย่โจงจั่วน้องชายของเย่โจงฉวนตัวสั่นสะท้าน และกล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “เป็นไปได้อย่างไร……ทำไมถึงเป็นสำนักว่านหลงได้…….” หลังจากกล่าวจบ เขามองไปที่เย่โจงฉวนด้วยความหวาดกลัวและกล่าวโพล่งออกมาว่า “พี่ใหญ่….คุณ…คุณไปล่วงเกินสำนักว่านหลงได้อย่างไร?!” เดิมทีเย่โจงฉวนไม่ค่อยรู้เรื่องราวของสำนักว่านหลงมากนัก แต่ก่อนหน้านั้นข่าวของสำนักว่านหลงดังสนั่น ทำให้เขารู้จักสำนักว่านหลงไม่น้อย ถึงแม้ก่อนหน้านั้น สำนักว่านหลงจะประสบความล้มเหลวอย่างน่าเศร้าในซีเรีย แต่ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นยังคงไม่สามารถมองข้ามได้ สำนักว่านหลงมีทหารหัวกะทิหลายหมื่นคน และคนระดับสูงล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ ด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว ประเทศเล็ก ๆ บางประเทศอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา นับประสาอะไรกับตระกูลที่ทำธุรกิจอย่างตระกูลเย่! ดังนั้น นอกจากเย่เฉินแล้ว ชื่อเสียงของสำนักว่านหลงทำให้ทุกคนตกใจจนขาอ่อนแรง เย่โจงฉวนที่เป็นคนสุขุม ตอนนี้รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย และกล่าวอย่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมจำไม่ได้ว่าพวกเราเคยมีความแค้นอะไรกับสำนักว่านหลง? ตระกูลเย่ทำธุรกิจมานานหลายปี ถึงแม้ในต่างประเทศจะมีธุรกิจมากมาย แต่ไม่เคยไปทำธุรกิจในประเทศที่มีสงคราม…..ซึ่งพวกเรากับองค์กรรับจ้างประเภทนี้อยู่กันคนล่ะโลก….. ” เย่ฉางโคงรู้สึกหวาดกลัวมากและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พ่อ พวกเขาเป็นองค์กรทหารรับจ้างที่มีทหารหลายหมื่นคน ทำไมพวกเขาถึงมาหาเรื่องพวกเรา?!” “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน……..” เย่โจงฉวนอดไม่ได้ที่จะถาม “หรือว่ามีอะไรเข้าใจผิด?” หลังจากนั้น เย่โจงฉวนถามอีกว่า “พวกคุณที่เหลือเคยมีความขัดแย้งกับสำนักว่านหลงหรือไม่?” ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาจะคบค้าสมาคมกับสำนักว่านหลงได้อย่างไร แม้แต่เย่โจงจั่วซึ่งอาศัยอยู่ต่างประเทศมาตลอด เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักว่านหลงมากมาย แต่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสำนักว่านหลง เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะมองเฮเลน่าที่อยู่ด้านข้าง และถามว่า “เฮเลน่า พวกคุณราชวงศ์ยุโรปเหนือเคยมีความขัดแย้งกับสำนักว่านหลงหรือเปล่า?” เฮเลนาส่ายศีรษะทันทีและกล่าวว่า “ถึงแม้ฉันจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักว่านหลง แต่ไม่เคยได้ยินว่าราชวงศ์มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับพวกเขา และเพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตนเองต่อหน้าสาธารณชน ราชวงศ์จะไม่มีวันมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับองค์กรสีเทาเช่นนี้เด็ดขาด” “น่าแปลกจริง ๆ……..” เย่เฟิงกล่าวด้วยความกังวลว่า “สำนักว่านหลงคงไม่บุกมาถึงที่นี่โดยไร้มีเหตุผล พวกเขาต้องมีจุดประสงค์อย่างแน่นอน!” ขณะที่ตระกูลเย่กำลังมึนงง ลู่เห้าเทียนไม่ให้เวลาพวกเขาคิดอีกต่อไป เขากล่าวอย่างเย็นชาอยู่ด้านนอกประตูว่า “คนแซ่เย่ทุกคนฟังให้ดี! ผมจะให้เวลาพวกคุณสิบวินาทีสุดท้าย ถ้ายังไม่ออกมา ผมจะฆ่าไม่ละเว้น!” เมื่อได้ยินประโยคนี้ คนตระกูลเย่ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น ทุกคนต่างมองไปที่เย่โจงฉวน โดยหวังว่าเขาซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจะสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ แต่ตอนนี้เย่โจงฉวนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ขณะนี้ เย่เฉินยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ทุกคนออกไปพร้อมกันเถอะ ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงประตูแล้ว มันพิสูจน์ได้ว่าบอดี้การ์ดของตระกูลเย่ถูกอีกฝ่ายจัดการแล้ว หรืออาจตายไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครปกป้องคุ้มครองคฤหาสน์หลังนี้แล้ว แทนที่จะรอเป็นฝ่ายต้านรับ สู้ออกไปดูว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรดีกว่า” เมื่อคนตระกูลเย่ได้ยินประโยคนี้ ทุกคนยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น พวกเขาไม่ใช่ยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะหลบซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ พวกเขายังรู้สึกขาอ่อนแรงเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าให้พวกเขาออกไปเผชิญหน้ากับคนโหดเหี้ยมอย่างสำนักว่านหลง เย่โจงฉวนรู้สึกว่าไม่ควรออกไปข้างนอกโดยตรง ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับเย่เฉินว่า “เฉินเอ๋อ อย่าวู่วามเด็ดขาด!”