“คนรู้จักเก่า?!” ซูโสว่เต้าได้ยินคำพูดนี้ พูดด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อว่า : “แต่ว่าผมไม่ได้รู้จักประมุขของสำนักว่านหลงเลยด้วยซ้ำนะ……เขาจะเป็นคนรู้จักเก่าของผมได้ยังไงกัน?” เย่เฉินยิ้มพร้อมพูดว่า : “พูดว่าเป็นคนรู้จักเก่า ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม น่าจะพูดว่าเป็นคนรุ่นหลังของคุณดีกว่านะ และมีสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งกับคุณด้วย ” “จะเป็นไปได้ยังไง……” ซูโสว่เต้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เกรงว่าเย่เฉินจงใจหาข้อกล่าวหาที่ไม่มีอยู่จริงมาทรมานตัวเอง เพราะงั้นรีบเอ่ยปากพูดทันทีว่า: “คุณเย่……ผมไม่รู้จักประมุขของสำนักว่านหลงอะไรนั่นจริงๆนะ ……มีอะไรที่เข้าใจผิดกันหรือเปล่า?” เย่เฉินส่ายหน้า ถามเขาว่า : “ในปีนั้นว่านเหลียนเฉิงเป็นลูกน้องของคุณใช่ไหม?” ซูโสว่เต้าคิดไม่ถึงว่า เย่เฉินจะเอ่ยถึงชื่อว่านเหลียนเฉิงที่ตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว เขาพูดกล่าวทันทีว่า : “ใช่……แต่ว่าว่านเหลียนเฉิงตายไปยี่สิบปีแล้วนะ……เขาเกี่ยวอะไรกับสำนักว่านหลงด้วย?” เย่เฉินยิ้มพร้อมพูดว่า : “ประมุขของสำนักว่านหลงคนนี้ ก็คือลูกชายของว่านเหลียนเฉิง เขาชื่อว่านพั่วจวิน คุณน่าจะยังจำได้นะ?” “อะไรนะ?!” ซูโสว่เต้าราวกับโดนฟ้าผ่าเลยยังไงอย่างนั้น โพล่งพูดว่า : “พั่วจวินเขา……เขาเป็นประมุขของสำนักว่านหลง?!” “ใช่” เย่เฉินยิ้มพร้อมถามเขา: “เป็นยังไง?ได้ยินข่าวนี้แล้ว คุณทั้งรู้สึกเซอร์ไพรล์ทั้งรู้สึกตื่นเต้นเลยใช่ไหม? รู้สึกเหมือนว่าชีวิตที่มืดสลัวๆ เพียงชั่วพริบตาก็เบ่งบานรุ่งโรจน์เรืองรองแล้วใช่ไหม ?” ซูโสว่เต้าเห็นแววตาของเย่เฉินนำมาซึ่งความหยอกล้อเล็กน้อย ในใจก็อดไม่ได้ที่จะค่อนข้างตื่นตระหนก ได้ยินว่าว่านพั่วจวินเป็นประมุขแห่งสำนักว่านหลงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในใจลึกๆของเขาก็ตื่นเต้นมากเลยจริงๆ เพราะว่าความคิดแรกของเขาก็คือ ในเวลานี้ตัวเองมีสำนักว่านหลงที่แข็งแกร่งหนุนหลังอยู่ กลับไปใช้ชีวิตอิสระเกรงว่าจะเป็นจริงในไม่ช้านี้! แต่ว่า เห็นสีหน้าท่าทางของเย่เฉินไม่กลัวเลยโดยสิ้นเชิง ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเต้นเร็วขึ้น แอบไตร่ตรองในใจ : “ทำไมเย่เฉินถึงได้ยิ้มอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้?หรือว่าเขาไม่กลัวสำนักว่านหลงเลยสักนิดงั้นเหรอ?” คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆเขาก็มองไปยังเฉินจงเหล่ยที่อยู่ข้างๆแล้ว ในใจก็มีคำตอบทันที! “เย่เฉินจะกลัวสำนักว่านหลงได้อย่างไรกันล่ะ……สำนักว่านหลงเพิ่งจะสูญเสียราชันสงครามในมือของเขาไป และทหารรับจ้างมากกว่า 16,000 คน เฉินจงเหล่ยพละกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้ อยู่ต่อหน้าเย่เฉินก็ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยพละกำลังของเย่เฉินแล้วจะเห็นสำนักว่านหลงอยู่ในสายตาได้ยังไงกัน?” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูโสว่เต้าก็เซื่องซึมไม่น้อยเลยทันที ดูเหมือนว่า แสงแห่งความหวังเพิ่งจะส่องสว่างขึ้น ก็ดับสูญไปทันทีแล้ว ในเวลานี้เย่เฉินเอ่ยพูดต่อ : “คุณกับว่านพั่วจวิน น่าจะไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้วใช่ไหม?” “ใช่……” ซูโสว่เต้าพยักหน้าแล้ว เอ่ยปากพูดว่า: “หลังจากที่พ่อแม่ของเขาฆ่าตัวตาย ผมก็อยากรับเขามาเลี้ยงดูที่บ้าน แต่คิดไม่ถึงว่า เขาถูกคนพาไปเมืองนอกก่อนผมก้าวหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย” เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย พูดอย่างเล่นหูเล่นตาว่า : “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะให้พวกคุณลุงหลานที่แยกจากกันนานกว่ายี่สิบปีได้เจอหน้ากันหน่อย รำลึกความหลังกันให้ดีๆ” เมื่อซูโสว่เต้าได้ฟังคำนี้ พูดอย่างตื่นเต้นว่า : “พั่วจวินเขา……เขามาหัวเซี่ย?” เย่เฉินพยักหน้าพร้อมยิ้ม พูดว่า : “ไม่เพียงแค่มาหัวเซี่ยเท่านั้น แถมยังปีกกล้าขาแข็งด้วย! วันนี้ให้คนเอาโลงศพมาส่งให้ตระกูลเย่ร้อยกว่าโลงแล้ว บอกว่าพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้าให้สมาชิกตระกูลเย่สวมชุดผ้าลินินปกหมวกขาวแสดงความอาลัย ต้อนรับโลงศพของพ่อแม่เขาที่จะย้ายเข้าไปในภูเขาเย่หลิงซาน ไม่เช่นนั้นจะฆาตกรรมทั้งตระกูล” พูดแล้ว เย่เฉินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็พูดอีกว่า : “อ๋อจริงสิ แล้วยังเอ่ยระบุชื่อแซ่ต่อสาธารณชนว่าต้องการโลงศพของพ่อแม่ฉันด้วย ต้องการทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเย่ คุณว่าเขาสุดยอดมากเลยใช่ไหม? ” เมื่อซูโสว่เต้าฟังจบแล้ว เพียงแค่รู้สึกว่าสมองดังหึ่งๆ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม เห็นเย่เฉินมีท่าทางเช่นนี้แล้ว ในใจก็วินิจฉัยได้แล้วว่า พรุ่งนี้ว่านพั่วจวินพ่ายแพ้แน่นอน! ดังนั้น เขาก็โพล่งพูดออกมาทันทีว่า : “คุณเย่พั่วจวิน……พั่วจวินเขา……จะต้องเป็นเพราะการตายของพ่อแม่เขาในปีนั้น ทำให้มีความแค้นสะสมต่อตระกูลเย่……ก็ขอให้คุณมองว่าเขาทำเพื่อแก้แค้นให้พ่อแม่ อย่าได้ถือสาเขาเลยนะ……” เย่เฉินเลิกคิ้วขึ้นแล้ว ยิ้มพร้อมถามว่า : “ทำไม?คุณถึงได้ไม่คาดหวังในตัวเขาขนาดนี้?” ซูโสว่เต้าได้ยินที่เย่เฉินถาม อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขื่นๆ พูดว่า : “ความสามารถของคุณเย่ ผมรู้ดีครับ……”