วินาทีนี้ สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตกใจอย่างมาก ไม่มีใครคาดคิด ว่านพั่วจวินที่เป็นนักบู๊แปดดาว ถึงขั้นยังไม่ได้ต่อสู้กับเย่เฉิน ก็ตัดเส้นลมปราณทิ้งด้วยตัวเองและยอมแพ้ไป! แม้แต่ตัวเย่เฉินเอง ก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าว่านพั่วจวินจะพยายามจนที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะตัดเส้นลมปราณทิ้งไปเองซะเลย เวลานี้ ว่านพั่วจวินใช้หัวก้มกระแทกลงพื้นอย่างแรง พูดเสียงดังว่า “ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นว่านพั่วจวินผมคนเดียวเท่านั้น ได้โปรดขอให้คุณเย่สั่งให้คนนำศพพ่อแม่ของผมฝังดินอีกครั้ง และก็ขอร้องให้คุณเย่ปล่อยลูกน้องที่สู้รบมานานหลายปีกับผมไป ส่วนตัวผมเอง เพียงแค่คำพูดเดียวของคุณ ผมยินยอมที่จะก้มหัวกระแทกตายตรงหน้าคุณ!” สำหรับว่านพั่วจวิน เขารู้แต่แรกแล้ว ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เฉินได้ ลูกน้องพวกนี้ของตัวเอง ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เฉินได้เช่นกัน ลูกน้องด้านหลังของเย่เฉินพวกนั้นยังไม่ทันได้ลงมือ ทางฝั่งของตัวเองนี้ก็สูญเสียราชันสงครามไปสามคนแล้ว อย่าว่าแต่ลูกน้องของตัวเองหวาดกลัวเย่เฉินจนเสียกำลัง แม้พวกเขาจะยังกล้าต่อสู้กับเย่เฉิน ก็ไม่มีทางที่จะชนะได้ ความเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือตายราบจนหมดสิ้น ถึงตอนนั้น ตัวเองและลูกน้องก็ไม่สามารถหนีรอดได้ แล้วโลงศพของพ่อแม่ตัวเอง ก็จะตกไปอยู่ในกำมือของเย่เฉิน ดังนั้น ว่านพั่วจวินจึงตัดสินใจตัดเส้นลมปราณด้วยตัวเองและก้มหัวร้องขอชีวิตจากเย่เฉิน เพียงแค่รักษาโลงศพของพ่อแม่ไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ไว้ชีวิตพลทหารคนอื่นๆของสำนักว่านหลงไว้ ส่วนชีวิตของตัวเอง เขาได้ละเลยทิ้งไปแล้ว เพียงแค่สามารถทำให้เย่เฉินพอใจ สามารถทำให้เย่เฉินปล่อยพ่อแม่รวมทั้งลูกน้องของตัวเองไปได้ ถึงตัวเองจะตายอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีการร้องทุกข์ใดๆเด็ดขาด ในวินาทีนี้ซูเฉิงเฟิงแทบจะสลบไป เขายังคาดหวังว่าอนาคตว่านพั่วจวินจะสามารถมาเป็นผู้สนับสนุนที่มั่นคงของตัวเอง แต่ตอนนี้ ว่านพั่วจวินกลับตัดเส้นลมปราณทิ้งด้วยตัวเอง กลายเป็นคนพิการไปแล้ว ทางด้านเย่เฉิน มีคนไม่น้อยต่างก็คิดว่าได้รับโทษที่สมควรแล้ว แต่สีหน้าของตู้ไห่ชิง กลับดูมีความทำใจไม่ได้ผุดขึ้นมา เธอมองดูวานพั่วจวินเติบโต ตอนนี้เห็นว่าเขาน่าอนาถขนาดนี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ ถึงขั้นคาดหวังว่าเย่เฉินจะใจกว้างและพอแค่นี้ ไม่ถือสาอะไรอีก แต่ว่า เธอนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ว่านพั่วจวินจะขึ้นภูเขาเย่หลิงซาน เย่เฉินก็บอกกับตัวเองไว้แล้วว่า ตัวเองอย่าได้ไปวิงวอนขอร้องเพื่อเขา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไงดี ในเวลานี้ เย่เฉินมองว่านพั่วจวินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเสียงเย็นชาว่า “ที่นายตัดเส้นลมปราณเอง ล้วนเป็นเพราะว่านายอ่อนแอเกินไป แล้วยังอยากจะได้รับการให้อภัยจากฉัน พูดแล้วดูเหมือนจะมีความใจกล้า แต่ที่จริงแล้วก็เป็นแค่แผนตัดมือเท่านั้น!ทั้งหมดที่นายทำนี้ ก็เป็นเพียงแค่นายอยากจะรักษากระดูกและโลงศพของพ่อแม่นายก็เท่านั้น!ฉันจะไม่รับคำเรียกร้องนี้ของนาย!” ว่านพั่วจวินได้ยินอย่างนี้ ก็ยิ่งสติแตกไปอีก เขาโค้งตัวอย่างแรง ใช้หัวกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง! หน้าผากของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด แผลหลายแห่งนั้นมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ เขาก็ยังอดทนพยายามขอร้องอ้อนวอน “คุณเย่ครับ ได้โปรดขอให้คุณเมตตา ปล่อยพ่อแม่ของผมไปเถอะครับ!” เย่เฉินก็ยังไม่หวั่นไหวใดๆเหมือนเดิม ว่านพั่วจวินกระแทกหัวลงไปอีกครั้ง ในตอนที่เงยหน้าขึ้น เลือดได้นองเต็มหน้าไปหมดแล้ว ปากก็ยังขอร้องอ้อนวอนไม่หยุด “คุณเย่ครับ!ได้โปรดขอให้คุณเมตตา!ปล่อยพ่อแม่ของผมไปเถอะครับ!!!” สีหน้าของเย่เฉินก็ยังเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่วางว่านพั่วจวินที่ก้มหัวกระแทกพื้นจนเต็มไปด้วยเลือดไว้ในสายตาเลยสักนิด ยังไงซะ คำพูดที่ว่านพั่วจวินพูดก่อนหน้านี้ คือการจะนำกระดูกของพ่อแม่เขาไปเผาทิ้ง เพราะงั้นถึงแม้เขาจะกระแทกจนตายที่นี่ เย่เฉินก็จะไม่มีความเห็นใจสักนิด ว่านพั่วจวินเห็นอย่างนี้ ก็กระแทกหัวลงไปอีก การกระแทกครั้งนี้ทำเอาเลือดพุ่งออกมาจากหน้าผากเต็มไปหมด ปากพูดอย่างอ่อนแรงอย่างมากว่า “คุณเย่ครับ….ได้โปรด…ได้โปรดขอให้คุณเมต….เมตตา….ปล่อย…ปล่อยพ่อแม่…ปล่อยพ่อแม่ของผมไปเถอะครับ….” สีหน้าของเย่เฉินก็ยังเย็นชาเหมือนเดิม เอ่ยปากถามว่า “ว่านพั่วจวิน นายก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์เหมือนเดิม นายมีสิทธิ์อะไรให้ฉันเมตตา? แล้วตัวฉัน จะเมตตานายเพื่ออะไร?!” ว่านพั่วจวินเห็นว่าเย่เฉินไม่หวั่นไหวใดๆ ในใจมืดมน แล้วก็หันไปมองโลงศพของพ่อแม่และร้องไห้ออกมา “พ่อครับ…แม่ครับ…ลูกมันอกตัญญู….ลูกขอโทษท่านทั้งสองด้วย ที่ทำให้พวกคุณทั้งสองที่ตายไปนานหลายปีขนาดนี้ยังต้องมาถูกลูกลากมาลำบาก….ขอโทษครับ…ขอโทษจริงๆ….”