ในเวลานี้ ตู้ไห่ชิงที่อยู่ในกลุ่มผู้คนรู้สึกเศร้าใจ มองดูต่อไปไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ จึงรีบเดินออกจากกลุ่มผู้คน มองไปทางเย่เฉิน พูดอย่างขอร้องว่า “เฉินเอ๋อ เห็นแก่ที่พั่วจวินสำนึกผิดอย่างจริงใจแล้ว ครั้งนี้ก็ปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะนะ….” ว่านพั่วจวินเห็นตู้ไห่ชิง ก็จำเธอได้ในทันที และได้นิ่งอึ้งไป “น้า….น้าตู้…คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ….” ตู้ไห่ชิงมองเขาด้วยสีหน้าเห็นใจ พูดอย่างสลดใจว่า “ก่อนหน้านี้เย่เฉินเคยช่วยฉันกับจือหยู พวกเราสองแม่ลูกได้ยินมาว่านายจะขึ้นมาที่ภูเขาเย่หลิงซาน เป็นห่วงว่าเย่เฉินจะมีอันตรายเลยรีบมา เดิมทีคือคิดจะแบกหน้ามาขอให้นายเมตตา แต่ไม่คิดเลยว่า…เฮ้อ….” ว่านพั่วจวินห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ พูดอย่างน่าอนาถว่า “ขอโทษครับน้าตู้….รบกวนคุณแล้ว….ผมไม่ขอให้คุณเย่ปล่อยผมไป ขอเพียงแค่ปล่อยพ่อแม่ผมไป ความผิดทั้งหมด ล้วนเป็นผมว่านพั่วจวินคนนี้เองครับ ผมไม่รู้จักคิดเอง ผมไม่ประมาณตนเอง และก็เป็นผมที่พูดอวดดีเอง ที่บอกจะนำเอากระดูกของพ่อแม่คุณเย่ไปเผาทิ้ง….” พูดถึงนี่ ว่านพั่วจวินก้มหัวลง สะอื้นจนตัวสั่น พูดว่า “ผมเองก็รู้ ว่าคุณเย่จะทำยังไงกับผม ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผมสมควรได้รับ…..แม้ว่าเขาจะทำตามสิ่งที่ผมพูด มาลงที่ตัวผมเอง ก็เป็นผมที่หาเรื่องใส่ตัวเอง….” “แต่ว่า…แต่ว่าผมละอายใจแทนพ่อแม่ผมจริงๆ….” “หลายปีมานี้…หลายปีมานี้ผมไม่เคยกลับมาเคารพศพให้กับพวกเขาเลย….” “ตอนนี้ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ปรากฏว่าเพิ่งกลับมาก็ไปรบกวนวิญญาณของพวกท่าน นำพวกเขาออกมาจากหลุมศพ แล้วตอนนี้ก็ยังลำบากพวกเขา ที่พวกเขาตายไปแล้วยังต้องมาถูกนำกระดูกไปเผาทิ้ง…” “ผม…ผมไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้จริงๆ…แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้…” ซูโสว่เต้าน้ำตาไหลริน หันหลังไปคุกเข่าตรงหน้าเย่เฉิน พูดขอร้องว่า “คุณเย่ครับ พั่วจวินได้รับผลกรรมในความอวดดีของเขาแล้ว ได้โปรดขอให้คุณเมตตา ให้อภัยเขาสักครั้งเถอะครับ!” ในเวลานี้ซูจือหยูรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เอ่ยปากพูดว่า “พ่อคะ! แม่คะ! เรื่องในวันนี้ เป็นความแค้นส่วนตัวของผู้มีพระคุณกับว่านพั่วจวิน! อีกอย่างก็เป็นว่านพั่วจวินที่หาเรื่องก่อน ตอนนี้พวกคุณอย่ามาบีบบังคับกันแบบนี้สิคะ!” ซูจือหยูแยกแยะได้อย่างชัดเจนมาเสมอ ถูก ก็คือถูก! ผิด ก็คือผิด! ตัวเองทำผิด ตัวเองก็ต้องรับผลที่ตามมาทั้งหมด! ว่านพั่วจวินนายหาเรื่องก่อน พอตอนนี้พ่ายแพ้ก็อยากจะมาก้มหัวขอความเมตตา เพราะอะไรเพียงแค่นายก้มหัวกราบคนอื่นก็ต้องให้อภัย?! ตู้ไห่ชิงถูกซูจือหยูพูดใส่แบบนี้ สีหน้าก็ยิ่งไม่สบายใจ เธอถอนหายใจเบาๆทีหนึ่ง พูดว่า “จือหยู พั่วจวินมีความผิดอยู่แล้ว แต่เขาก็ได้รับโทษจากความผิดของเขาแล้ว…” ซูจือหยูพยักหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “ได้รับโทษแล้วก็จริง แต่ได้รับโทษมากพอมั้ย ก็ไม่ใช่แม่กับพ่อเป็นคนตัดสิน แต่เป็นท่านผู้มีพระคุณเป็นคนตัดสินค่ะ!” ในเวลานี้ว่านพั่วจวินเองก็สะอื้นอย่างสิ้นหวัง พูดว่า “ลุงซู น้าตู้ครับ ท่านทั้งสองไม่ต้องขอร้องแทนผมแล้วครับ ทุกอย่างในวันนี้ ล้วนเป็นผมที่ทำเองก็ต้องรับผลเอง โทษคนอื่นไม่ได้…” เย่เฉินที่เงียบมาตลอด เห็นว่าว่านพั่วจวินสิ้นหวังอย่างที่สุดแล้ว จู่ๆก็เอ่ยปากพูดขึ้นในเวลานี้ว่า “ว่านพั่วจวิน ฆ่าหรือไม่ฆ่านายกับลูกน้องของนาย หรือว่าจะนำเอากระดูกของพ่อแม่นายไปเผาทิ้งหรือไม่ ทุกอย่างล้วนเป็นการตัดสินใจของฉัน! ฉันสามารถปฏิเสธนายอย่างเลือดเย็นได้ และก็สามารถเมตตาปรานีปล่อยนายไปได้ แต่ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้น?” เวลานี้ว่านพั่วจวินก็ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น เลือดไหลนองหน้าเต็มไปหมด ชุดไว้ทุกข์บนร่างกายถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือด ดูน่าเวทนา แต่เขาก็ยังทนความเจ็บปวด พูดว่า “หากคุณเย่สามารถเมตตาต่อพ่อแม่ของผม ผมว่านพั่วจวินขอสาบานต่อฟ้า สาบานต่อวิญญาณบนสวรรค์ของพ่อแม่!ทั้งชีวิตนี้ยินดีติดตามอยู่ข้างกายคุณเย่ เป็นขี้ข้าให้คุณเย่!เป็นผู้ติดตามให้กับคุณเย่ไปทั้งชีวิต!แม้ว่าคุณเย่จะให้ผมกระโดดลงไปจากภูเขาเย่หลิงซานในตอนนี้ ผมว่านพั่วจวินก็ไม่บ่นสักคำครับ!” พวกพลทหารของสำนักว่านหลงที่เดิมทีนั้นหวาดกลัวกันแทบตาย ตอนนี้เห็นว่าว่านพั่วจวินนั้นน่าเวทนาขนาดนี้ ต่างก็ปวดใจเป็นอย่างมาก ผู้คนในกลุ่มนั้นจู่ๆก็คุกเข่าลง ใช้แรงก้มหัวกระแทกกราบให้กับเย่เฉิน เงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำตาที่รินไหลว่า “ขอร้องให้คุณเย่ได้โปรดเมตตาพ่อแม่ของท่านประมุขด้วยครับ ผมเสิ่นห้านชิงชีวิตนี้ก็ยินดีเป็นขี้ข้าให้กับคุณเย่ เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณต่อความเมตตาของคุณเย่ครับ!” ตามมาด้วย มีคนคุกเข่าก้มลงกราบอีก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ผมหลี่ฉวนปิงเองก็ยินดีครับ!” “ผมจางไห่ซินเองก็ยินดีครับ!” รวมทั้ง พลทหารหญิงของสนักว่านหลงคนหนึ่งเองก็คุกเข่าลง ก้มคำนับสะอื้นพูดว่า “ฉันหูเค่อซินเองก็ยินดีค่ะ!” มีคนพวกที่นำทัพ พลหทารอื่นๆของสำนักว่านหลง แทบจะคุกเข่าลงกันหมด เสียงก้มคำนับที่ดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วภูเขาเย่หลิงซาน!!