พลทหารพวกนี้ของสำนักว่านหลง ถึงแม้ต่างก็หวาดกลัวกำลังของเย่เฉิน แต่ในวินาทีนี้ ก็ทนดูท่าทางน่าเวทนาของว่านพั่วจวินไม่ได้ ยังไงซะ พวกเขาต่างก็ล้วนได้รับความเมตตาจากว่านพั่วจวินกันมาก่อน ไม่สามารถทนมองดูอย่างสบายใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเย่เฉินยังเงียบอยู่ ไม่เพียงแต่ว่านพั่วจวินจะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายแล้ว ลูกน้องอย่างพวกเขาเองก็คงรอดไปได้ยาก ดังนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็คุกเข่าลงพื้น หวงัว่าจะช่วยว่านพั่วจวินออกแรงได้สักหน่อย แล้วมาขอร้องให้เย่เฉินอภัยให้ด้วยกัน เมื่อเห็นว่ามียอดฝีมือของสำนักว่านหลงมากมายขนาดนี้คุกเข่าลงอ้อนวอนขอร้องตรงหน้าเย่เฉิน เบื้องลึกหัวใจของเย่โจงฉวนนั้นตื่นเต้นอย่างมาก จากภาพนี้ เขามองเห็นความหวังที่ตระกูลเย่จะลุกขึ้นได้อีกครั้ง อีกอย่าง การลุกขึ้นเช่นนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าตระกูลเย่จะเป็นที่หนึ่งของประเทศ แต่สามารถนำพาตระกูลเย่ เป็นถึงที่หนึ่งของโลก และตรงกันข้ามของเขา ซูเฉิงเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เบื้องลึกหัวใจนั้นกังวลอย่างมากที่สุด คนของสำนักว่านหลงล้วนคุกเข่าลงแล้ว ตอนนี้ ทางค่ายฝั่งนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังยืนอยู่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะยังยืนอยู่อย่างนี้ต่อไป หรือว่ารีบคุกเข่าลงตามคนของสำนักว่านหลง ยืนอยู่คงเดียว ไม่เหมาะสมแน่นอน แต่ว่า ให้ตัวเองคุกเข่าให้กับเย่เฉิน นี่….นี่ดูเหมือนจะยิ่งไม่เหมาะสม ยังไงซะ ตัวเองก็เป็นถึงผู้นำตระกูลของตระกูลซู เดิมทีที่ใส่ชุดไว้ทุกข์ให้กับพ่อแม่ของว่านพั่วจวินก็อับอายมากพอแล้ว แล้วตอนนี้ถ้ายังคุกเข่าให้กับเย่เฉินอีก นั่นก็จะยิ่งอับอายขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือไง? ในตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พลทหารของสำนักว่านหลงที่อยู่ข้างกายเขาคนหนึ่งก็ดึงเขาล้มลงกับพื้น ซูเฉิงเฟิงล้มหัวคะมำ กำลังอยากจะลุกขึ้น ก็ถูกพลทหารคนนั้นของสำนักว่านหลงฟาดฝ่ามือมาตบทีหนึ่ง แล้วเอ่ยปากด่าด้วยเสียงเบาว่า “ไอ้แก่สารเลวนี่! พวกเราล้วนคุกเข่าลงขอร้องให้แก่ท่านประมุข ทำไม่นายไม่คุกเข่า? คุกเข่าลงดีๆเดี๋ยวนี้!” ฝ่ามือนี้ฟาดลงมา ทำเอาใบหน้าของซูเฉิงเฟิงบวมขึ้น เจ็บปวดอย่างมาก แม้ในใจเขาจะรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะยังไงซะสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรได้อยู่แล้ว คนอื่นทำร้ายทุบตีเขา เขาก็ทำได้เพียงยอมรับมัน ในเวลานี้ พลทหารทั้งหมดของสำนักว่านหลงต่างก็ใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา จ้องมองเย่เฉิน พวกเขาล้วนกำลังรอคำตัดสินสุดท้ายของเย่เฉิน เย่เฉินมองดูท่าทางน่าเวทนาของว่านพั่วจวิน พูดนิ่งๆว่า “คนมากมายขนาดนี้ช่วยนายอ้อนวอนขอร้อง ดูออกได้ว่าพวกเขาล้วนสนับสนุนนายด้วยความจริงใจ แต่นายกลับพาพวกเขามาตายถึงที่ภูเขาเย่หลิงซาน เพื่อประโยชน์ส่วนตัว นายที่เป็นประมุข ในใจไม่รู้สึกละอายหน่อยหรือไง?” ว่านพั่วจวินสะอื้นอย่างเจ็บปวดมาก “ละอายใจครับ…ตอนนี้ผมละอายใจมาก ไม่เพียงแต่ละอายใจต่อพี่น้องสำนักว่านหลง ละอายใจต่อพ่อแม่ของผม ก็ยังละอายใจต่อคุณเย่ และพ่อแม่ของคุณเย้ด้วย….” พูดแล้ว เขาเงยหน้ามองซูโสว่เต้ารวมทั้งตู้ไห่ชิง สะอื้นพูดว่า “ลุงซู น้าตู้ครับ ให้ท่านทั้งสองอ้อนวอนขอร้องแทนผม ในใจของพั่วจวินเองก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากครับ….” ซูโสว่เต้าถอนหายใจยาว ไม่ได้พูดอะไร เขาในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเพื่อตอบกลับว่านพั่วจวิน ว่านพั่วจวินหันกลับมามองไปทางเย่เฉิน พูดอย่างจริงจังว่า “คุณเย่ครับ หากว่าคุณไม่เห็นค่าผมว่านพั่วจวิน และก็ไม่ต้องการคนพิการอย่างผมว่านพั่วจวินคนนี้มาเป็นขี้ข้า งั้นว่านพั่วจวินสามารถใช้ความตายมาเป็นการขอโทษ หากว่าวันนี้ผมตายลงที่นี่ สามารถทำให้คุณพอใจได้ สามารถทำให้คุณหายโกรธได้ งั้นผมก็ยินดีตายเดี๋ยวนี้ ไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว!และผมก็ยินดีที่จะตายไปแล้วถูกทิ้งศพไว้ในป่า ให้สัตว์ทั้งหลายมาแทะกิน ขอเพียงคุณเย่ให้ความเมตตา ให้พ่อแม่ผมกลับสู่หลุมศพให้สบายใจครับ!”