จากนั้น เย่เฉินก็พูดกับเหอหงเซิ่งว่า “คุณท่านเหอ รบกวนพวกคุณจับตาดูทุกคนในตระกูลเย่ให้หน่อยนะครับ หากว่าใครกล้าแอบโยนอะไรทิ้งไป โดยเฉพาะของสิ่งของประเภทชุดไว้ทุกข์ ก็จับมัดไว้ให้ผมได้เลยครับ!” คนส่วนมากของตระกูลเย่เมื่อได้ยินอย่างนี้ ก็ตกใจหวาดกลัวในทันที เพราะว่าในเสื้อผ้าของพวกเขา ตอนนี้ยังมีชุดไว้ทุกข์อยู่ด้านใน เมื่อกี้ที่เย่เฉินจัดการสำนักว่านหลงนั้นมันน่าตื่นเต้นเกินไป คนพวกนี้จึงลืมเรื่องชุดไว้ทุกข์กันไปหมด เมื่อถูกเย่เฉินพูดย่างนี้ ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าบนตัวยังมีระเบิดอยู่ คนพวกนี้ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที ไม่รู้ว่าเย่เฉินเตรียมจะจัดการพวกเขายังไง เวลานี้ เย่เฉินไม่ได้สนใจคนตระกูลเย่อีก แต่หันไปมองพลทหารสำนักว่านหลงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ภายในกลุ่มพลทหาร ยังมีตาแก่ที่ตัวสั่นรวมอยู่ด้วย ตาแก่นี้ถึงแม้จะคุกเข่าอยู่บนพื้นเหมือนกัน แต่ก็เอาแต่มองซ้ายมองขวา เหมือนว่ากำลังหาโอกาสหนี คนๆนี้ นั่นก็คือผู้นำตระกูลของตระกูลซู ซูเฉิงเฟิง ซูเฉิงเฟิงในตอนนี้รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด บ่นในใจว่า “รู้อย่างนี้แต่แรกว่าว่านพั่วจวินนี้จะต้อยต่ำต่อหน้าเย่เฉินขนาดนี้ ใครเชิญฉันมาภูเขาเย่หลงซาน ฉันก็ไม่มีทางมาเด็ดขาด….” “ปรากฏว่าไงละ กูแม่งใส่ชุดไว้ทุกข์มาแต่ไกล ปรากฏว่ามาโดดลงกองไฟเองซะงั้น….” “ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสแบบหนีออกไปได้มั้ย…” ในตอนที่ซูเฉิงเฟิงกำลังหดหู่อย่างที่สุด เย่เฉินชี้คนที่ใส่ชุดไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่ในกลุ่มผู้คน พูดนิ่งๆว่า “ซูเฉิงเฟิง หมาแก่อย่าได้คิดจะแอบหนีไปละ คุกเข่าให้ดีๆ ฉันยังมีบัญชีที่ต้องค่อยๆคิดกับแกอยู่!” ซูเฉิงเฟิงได้ยินคำพูดนี้ ตกใจจนรีบอ้อนวอนขอร้อง “คุณเย่ครับ….คุณเย่…ที่…ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับผม ผม…ผมก็แค่อยากจะมาไหว้สุสานคู่ผัวเมียว่านเหลียนเฉิงก็เท่านั้น ผมไม่ได้มีความคิดอื่นเลย!” เย่เฉินขมวดคิ้ว “มา นายมาอธิบายให้ฉันฟัง นายไหว้สุสานคู่ผัวเมียว่านเหลียนเฉิง แล้วมาที่สุสานตระกูลเย่ของฉันทำไม?” “ผม…ผม…” ซูเฉิงเฟิงคิดไม่ออกว่าควรอธิบายยังไง ตื่นตระหนกจนตัวส่ันไปหมด เหมือนกับว่าเป็นโรคพาร์กินสันขึ้นมากะทันหัน เย่เฉินถามเขา “ทำไม? กล้าใส่ชุดไว้ทุกข์มาที่สุสานตระกูลเย่ของฉัน แต่ไม่กล้ายอมรับว่ามาดูเอาสนุก?” ซูเฉิงเฟิงทำหน้าเศร้าโศก พยายามแก้ตัวว่า “คุณเย่ครับ คุณเข้าใจผมผิดแล้วจริงๆ ผมไม่ได้มีความคิดนี้….” เย่เฉินพูดเยาะเย้ยว่า “นายคงไม่คิดว่ามาดูเรื่องสนุก ปรากฏว่ากลับพังทลายละสิ? ฉันถามนาย ตอนนี้รู้สึกผิดมั้ย?” สีหน้าของซูเฉิงเฟิงดูแย่กว่าตอนพ่อเสียซะอีก พูดพึมพำว่า “คุณเย่….ผม…ผมไม่ได้มาดูเรื่องสนุกจริงๆ….ลูกชายของผมซูโสว่เต้าสนิทกับคู่ผัวเมียว่านเหลียนเฉิงมาก เพราะงั้นผมจึงมาไหว้สุสานสักหน่อย เป็นเพราะความเห็นใจ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น….ล้วนเป็นความเข้าใจผิดครับ เข้าใจผิด…..” “เข้าใจผิด?” เย่เฉินถาม “เวลาอย่างนี้แล้ว นายยังพยายามโต้แย้งอีก ฉันดูแล้วสมองของผู้นำตระกูลซูอย่างนายก็ไม่ฉลาดนี่นา!” ซูเฉิงเฟิงมีใจอยากจะตายขึ้นมาแล้ว ในใจบ่นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องความฉลาดของฉัน แต่เป็นเพราะฉันไม่มีเหตุผลที่ดีอะไรจริงๆ…” เย่เฉินเห็นว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดี จึงได้ชี้พลทหารสำนักว่านหลงที่อยู่ข้างกายซูเฉิงเฟิง พูดอย่างเย็นชาว่า “นาย ตบหน้าเขาแรงๆ!” “รับทราบครับ!” คนๆนั้นพูด แล้วจับคอเสื้อของซูเฉิงเฟิง แล้วก็ตบหน้าซ้ายขวาไปมาหลายที ซูเฉิงเฟิงเคยโดนแบบนี้ที่ไหนกัน จึงได้ตะโกนออกมาว่า “ฉันเป็นผู้นำตระกูลซู!เป็นยอดนักธุรกิจของโลก!เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก!พวกนายเสียมารยาทกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง!” เย่เฉินยิ้มเยาะทีหนึ่ง พูดนิ่งๆว่า “ผู้นำตระกูลซู? ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้นายใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว!”