เย่เฉินเองก็ไม่ได้จงใจข่มขู่ซูเฉิงเฟิง ก่อนหน้าของวันนี้ เดิมทีเขาคิดอยากจะฆ่าว่านพั่วจวินกับซูเฉิงเฟิงทิ้งพร้อมกัน เพียงแต่ว่า ได้เปลี่ยนความคิดหลังจากที่ว่านพั่วจวินขึ้นมาที่ภูเขาเย่หลิงซานแล้ว เขารู้ว่าว่านพั่วจวินนั้นมันอวดดีเกินไป แต่อย่างน้อยก็มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และก็มีความภักดีต่อเพื่อนรบ เมื่อเชื่อมโยงกับที่ว่าอนาคตตัวเองจะต้องก้าวสู่ยุโรปอเมริกา และก็จำเป็นต้องมีทีมที่แข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความคิด และรับว่านพั่วจวินรวมทั้งสำนักว่านหลงทั้งหมดมาเป็นของตน ในเมื่อว่านพั่วจวินก็รับมาแล้ว จะฆ่าตาแก่ซูเฉิงเฟิงนี่เพียงคนเดียวก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะงั้นบีบให้เขามอบตำแหน่งให้กับซูจือหยู แล้วจัดการปัญหาใหญ่ของตระกูลซูทิ้งไปซะยังดีกว่า เย่เฉินเชื่อมั่นในตัวซูจือหยู และก็เชื่อในความสามารถของซูจือหยูด้วยเช่นกัน ตัวเองสามารถทำให้เธอขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ เธอจะต้องสามารถจัดการปัญหาภายนอกภายในของตระกูลซูได้ดีอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น ตระกูลซูก็จะไม่ใช่ศัตรูกับตระกูลเย่อีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นพันธมิตรกับเย่เฉิน ซูเฉิงเฟิงเองก็เดาความคิดของเย่เฉินออก เมื่อสงบสติอารมณ์ลงมาแล้ว ก็หันไปมองซูจือหยู พูดอย่างจริงจังว่า “จือหยู คุณเย่พูดถูก ทั้งหมดในตระกูลซูไม่มีใครที่จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้มากไปกว่าเธอแล้วจริงๆ ฉันจะรีบจัดการขั้นตอนทั้งหมดให้เสร็จ แล้วมอบทั้งหมดของตระกูลซูให้แก่เธอ ต่อไปโชคชะตาชีวิตของตระกูลซูก็ต้องพึ่งพาเธอนำทางแล้วละ!” ซูจือหยูลังเลสักพัก แล้วพูดว่า “คุณปู่คะหนูเข้าใจแล้วค่ะ” พูดจบ เธอหันไปมองเย่เฉิน พูดอย่างจริงจังและหนักแน่นว่า “ผู้มีพระคุณสบายใจได้ค่ะ ฉันจะทำให้เต็มที่แน่นอนค่ะ!” เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ในเมื่ออย่างนี้ งั้นก็รอคืนนี้เซ็นเอกสารดำเนินการทั้งหมดแล้วกัน” พูดจบ เย่เฉินก็หันไปมองซูโสว่เต้า เอ่ยปากพูดว่า “ยังมีนาย ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดว่าไว้บรรพบุรุษครั้งนี้ให้นายกลับมา นอกจากจะต้องสารภาพผิดต่อหน้าพ่อแม่ฉันแล้ว ยังต้องดำเนินการหย่าร้างทุกขั้นตอนกับน้าตู้ให้เสร็จ คืนนี้ฉันเองก็จะสั่งให้คนจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ให้นายเซ็นเช่นกัน” ซูโสว่เต้ารู้แต่แรกแล้ว ว่าชีวิตแต่งงานของตัวเองกับตู้ไห่ชิงไม่สามารถรั้งไว้ได้แล้ว อีกอย่างก็มีเย่เฉินมาบีบบังคับอยู่แบบนี้ ตัวเขาอยากจะยื้อไว้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เขาจึงพยักหน้า พูดว่า “ตกลง…..ฉันเซ็น….” พูดจบ เขาก็ถามเย่เฉินด้วยสีหน้าคาดหวัง “คุณเย่ครับ ตอนนั้นคุณพูดว่า เพียงแค่ซูจือหยูสามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้ภายในสามปี ก็จะให้ผมกลับมา ตอนนี้จือหยูก็จะสืบทอดตระกูลซูแล้ว ก็น่าจะให้ผมกลับมาได้แล้วใช่มั้ยครับ?” เย่เฉินพยักหน้า พูดว่า “ตอนนั้นฉันเคยพูดอย่างนี้จริงๆ นายอยากจะกลับมาก็ไม่มีปัญหา แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจในอนาคตที่นายจะทำกับซูจือหยู หรือสร้างความวุ่นวาย ถึงแม้นายจะกลับมา ก็จำเป็นจะต้องเป็นฉันที่เป็นคนจัดส่งคนมาเฝ้าดูการพักอาศัย สถานที่ก็ต้องเป็นฉันที่เป็นคนเลือก” ซูโสว่เต้าพูดด้วยสีหน้าสลดใจว่า “คุณเย่ครับ….แบบนี้มันจะไม่ค่อยเหมาะสมแล้วนะครับ…ทั้งที่ก่อนหน้าเคยพูดไว้ว่าหากซูจือหยูขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ก็จะปล่อยให้ผมเป็นอิสระ….” เย่เฉินพูดเสียงเย็นชาว่า “นายอย่าลืมว่าเรื่องที่ซูจือหยูขึ้นเป็นผู้นำตระกูลนั้นใครเป็นคนสนับสนุน” พูดจบ เขาก็พูดอีกว่า “ในเมื่อนายจะเอาจริงเอาจังกับคำพูดของฉันขนาดนั้น งั้นนี่ก็ไม่สำคัญ” เวลานี้เย่เฉินมองไปยังซูเฉิงเฟิง พูดนิ่งๆว่า “คุณท่านใหญ่ซูครั้งนี้ตอนเซ็นเอกสารที่เกี่ยวข้อง ก็รวดแก้ไขระบบของตระกูลซูสักหน่อย ต่อไปซูจือหยูไม่ใช่ผู้นำตระกูลซูอะไรนั่น แต่เป็นท่านประธานของซูซื่อกรุ๊ป” ซูเฉิงเฟิงกล้าขัดคำสั่งของเย่เฉินที่ไหนกัน จึงได้รีบพูดว่า “ไม่มีปัญหา! ไม่มีปัญหา! ยังไงซะจากทางกฎหมายแล้ว ตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ก็ยืนได้ไม่มั่นคง สิ่งที่สามารถมั่นคงได้ก็คือตำแหน่งท่านประธาน รวมทั้งสิทธิ์ของหุ้นในกลุ่มคณะกรรมการบริหารบริษัท” เย่เฉินพยักหน้า มองไปทางซูโสว่เต้า พูดว่า “งั้นก็ขอโทษด้วยนะ ครั้งนี้ลูกสาวนายขึ้นเป็นท่านประธานซูซื่อกรุ๊ป ไม่ใช่ผู้นำตระกูลซู เพราะงั้นก็ทำได้เพียงลำบากนายกลับไปอยู่ที่ซีเรียอีกสักหน่อย แต่ว่านายสบายใจได้ ฉันจะบอกกับคามมิตไว้ว่าให้เขาดูแลนายเป็นพิเศษสักหน่อย”