ซูโสว่เต้ากลัวจนตัวสั่นไปหมด รีบพูดว่า “คุณเย่ครับ ผมผิดไปแล้ว! ผมยินดีถูกเฝ้าดูการพักอาศัยครับ! ถึงแม้จะกักบริเวณผมก็ไม่มีปัญหา แต่ได้โปรดอย่าให้ผมกลับไปที่ซีเรียอีกเด็ดขาด ที่แห่งนั้นผมทนไม่ไหวแล้วครับ…..” เย่เฉินคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องยอม จึงพูดนิ่งๆว่า “ในเมื่อนายยินดีที่จะยอมรับ งั้นรองานไหว้บรรพบุรุษจบลงแล้ว นายก็กลับไปที่เมืองจินหลิงกับฉัน ฉันจะจัดการไว้ให้กับนายอย่างดี” ซูโสว่เต้าได้ยินอย่างนี้ ก็รีบคุกเข่าลงพื้น อ้อนวอนขอร้องด้วยสีหน้าสลดใจ “คุณเย่ครับ ขอร้องได้โปรดอย่าส่งผมไปที่ลานเลี้ยงหมา….” เย่เฉินไม่พูดอะไร แต่ใช้หางตาเหลือบมองเหออิงซิ่วที่ยืนอยู่กับซูรั่วหลี เห็นว่าสีหน้าของเหออิงซิ่งในตอนนี้ร้อนรนมาก เย่เฉินก็รู้แล้วว่าเธอจะต้องยังเป็นห่วงซูโสว่เต้าอยู่แน่นอน ยังไงซะ เธอก็สามารถเสียสละแขนข้างหนึ่งเพื่อซูโสว่เต้าได้ แล้วยังคลอดลูกสาวให้เขาคนหนึ่ง ในใจจะต้องรักเขาอย่างแท้จริงแน่นอน คิดถึงนี่ เย่เฉินถอนหายใจเบาๆ พูดกับซูโสว่เต้าว่า “พอแล้ว ฉันไม่ส่งนายไปลานเลี้ยงหมาหรอก” พูดจบ เขาก็มองไปทางเหอหงเซิ่ง เอ่ยปากพูดว่า “คุณท่านเหอครับ หลังจากที่ซูโสว่เต้าไปเมืองจินหลิงแล้ว ก็ให้ตระกูลเหอเป็นคนจัดส่งคนไปเฝ้าดูการพักอาศัยของเขาแล้วกันครับ” เหอหงเซิ่งคาดไม่ถึงว่าเย่เฉินจะมอบซูโสว่เต้าให้กับตัวเอง จึงรีบถามว่า “คุณเย่ครับ ไม่ทราบว่าคุณมีความต้องการอย่างไรบ้างครับ?” เย่เฉินพูดนิ่งๆ “ยังไงซะเขาก็เป็นพ่อแท้ๆของซูจือหยูและซูรั่วหลี อีกอย่างเห็นแก่ที่เขาสำนึกผิด ฉันเองก็จะไม่จงใจทรมานเขา และก็จะไม่ส่งเขาไปลานเลี้ยงมหาด้วย” ในตอนที่ซูโสว่เต้าได้ยินเย่เฉินพูดมาถึงนี่ ก็ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ขณะนี้เย่เฉินพูดต่อ “ให้เขาพักอยู่ในคฤหาสน์ของพวกนายแล้วกัน! ให้ห้องพักใต้ดินกับเขาสักห้องก็พอแล้ว อาหารการกินของเขาก็ให้ตระกูลเหอของพวกนายรับผิดชอบ แต่ว่าฉันมีขีดจำกัดอยู่ไม่กี่ข้อ ห้ามล้ำเส้นเด็ดขาด” เหอหงเซิ่งรีบกุมมือทำความเคารพ พูดว่า “คุณเย่รับสั่งมาได้เลยครับ กระผมจะทำตามอย่างแน่นอนครับ!” เย่เฉินเอ่ยปากพูดว่า “หนึ่ง ห้ามให้เขาออกจากคฤหาสน์แม้แต่ก้าวเดียว สอง ห้ามให้เขามีการติดต่อใดๆกับคนอื่นนอกเหนือจากคนตระกูลเหอเด็ดขาด รวมทั้งซูจือหยูและซูรั่วหลีด้วย” เหอหงเซิ่งรีบพูดอย่างเคารพว่า “คุณเย่วางใจได้ครับ กระผมนำหัวเป็นประกัน จะไม่ให้เขาออกจากคฤหาสน์แม้แต่ก้าวเดียว และก็ไม่ให้เขามีการติดต่อกับโลกภายนอกเด็ดขาดครับ!” ในเวลานี้ซูโสว่เต้าเองก็สบายใจขึ้นแล้ว เขากับความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลเหอ ที่จริงแล้วที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่เลวมาเสมอ ส่วนเหออิงซิ่วนั้นก็ไม่ต้องพูดเลย เรื่องในตอนนั้นที่มีกับเหออิงซิ่ว ก็เป็นเหออิงซิ่วที่เริ่มก่อน ดังนั้นซูโสว่เต้าก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นผู้ชายเลว แล้วบวกกับที่เขาเป็นพ่อของซูรั่วหลี เมื่อก่อนก็ดูแลตระกูลเหอมาตลอด ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเหอก็ถือได้ว่าไม่เลว เย่เฉินมอบเขาให้กับตระกูลเหอ ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะให้ซูโสว่เต้ารู้สึกสบายสักหน่อยเพียงเท่านั้น ประเด็นหลักก็เพราะเขารู้สึกว่า เหออิงซิ่งคนนี้น่าสงสารมากจริงๆ ทั้งชีวิตนี้เสียสละเพื่อซูโสว่เต้ามากมายขนาดนี้ ตอนยังเป็นสาวก็เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับซูโสว่เต้า ต่อมาก็พิการเพราะเขา คลอดลูกสาวให้เขา แล้วเลี้ยงเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาให้เติบโตมาด้วยตัวคนเดียว การเสียสละแบบนี้มันเกินกว่าคนทั่วไปแล้ว ดังนั้น เย่เฉินจึงจงใจสร้างโอกาสให้กับเธอ ต่อไปซูโสว่เต้าสามารถมีเพียงคนตระกูลเหอที่คอยเฝ้าดูแลได้เท่านั้น อย่างนั้นเหออิงซิ่วจะต้องดูแลเขาอย่างดีแน่นอน ถ้าหากว่าซูโสว่เต้าเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ หย่าร้างกับตู้ไห่ชิงแล้ว หลังจากที่ถูกกักบริเวณที่เมืองจินหลิง ก็น่าจะทำตัวดีๆกับเหออิงซิ่ว ถ้าหากว่าวันไหนเขาคิดได้แล้ว ตัดสินใจจะแต่งงานกับเหออิงซิ่ว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนให้ดี อย่างนั้นตัวเองจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระอย่างแน่นอน แน่นอนว่าคำพูดนี้เย่เฉินไม่มีทางพูดออกไป ไม่อย่างนั้นซูโสว่เต้าคงจะตอบตกลงทันทีเพื่อความอิสระ เรื่องนี้ ต้องให้ตัวเขาค่อยๆไปทำความเข้าใจเอง เมื่อเขาเข้าใจคิดได้เมื่อไหร่ เขาก็จะอิสระเมื่อนั้น!