หลังจากเย่เฉินขอบคุณสมาชิกตระกูลซ่งและตระกูลอิโตะเรียบร้อยแล้ว ก็ถือแก้วเหล้าเข้ามาหาสมาชิกตระกูลเหอ รวมถึงซูรั่วหลีและซูจือหยูสองแม่ลูกด้วย
ก่อนที่เย่เฉินจะได้กล่าวขอบคุณ เหอหงเซิ่ง ซึ่งเป็นคุณท่านตระกูลเหอ ได้ชิงยกแก้วเหล้าและพูดกับเย่เฉินว่า “คุณเย่! เพิ่งรู้เมื่อคืนว่าคุณเป็นช่วยรั่วหลีเอาไว้ และคุณยังคอยปกป้องความปลอดภัยของเธอมาโดยตลอด น้ำใจของคุณครั้งนี้ ทางตระกูลเหอจะไม่มีวันลืม!”
เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านเหอพูดเกินไปแล้ว รั่วหลีกับผมเป็นเพื่อนกัน นี่คือเรื่องระหว่างผมกับเธอ ท่านไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
เหอหงเซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง “คุณเย่ รั่วหลีเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่ของตระกูลเหอ และจะเป็นคนคอยคุมทางเสือให้กับตระกูลเหอในอนาคตอีกด้วย ท่านช่วยเธอไว้ ก็เหมือนช่วยตระกูลเหอไว้ด้วย!”
ซูรั่วหลีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยพลางพูดว่า “คุณตา ฉัน…ฉันเป็นคนนอกสกุล จะเป็นคนคุมหางเสือให้ตระกูลเหอในอนาคตได้อย่างไร”
เหอหงเซิ่งกล่าวอย่างหนักแน่น “รั่วหลี ไม่ว่าเธอจะใช้นามสกุลอะไร เธอก็เป็นลูกหลานของตระกูลเหอ ดังนั้นการมอบตระกูลเหอให้เธอได้ดูแลในอนาคต ฉันถึงจะวางใจได้”
ว่าแล้วเหอหงเซิ่งก็ถอนหายใจพลางพูดว่า “วันนี้ได้ขึ้นภูเขาเย่หลิงซาน ฉันถึงได้รู้ว่าที่แท้นั้นอยู่ในเขตแดนศิลปะการต่อสู้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนจริงๆ ว่านพั่วจวินยังอายุไม่ถึงสามสิบก็สามารถกลายเป็นนักบู๊แปดดาวได้แล้ว และร่างกายครึ่งหนึ่งของฉันถูกฝังอยู่ในดินแล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลือจากคุณเย่ ถึงฝืนไปถึงระดับสี่ดาวได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มันน่าละอายใจจริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหอหงเซิ่งก็มองซูรั่วหลีและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ดังนั้น ฉันต้องการมอบหมายการงานทั้งหมดของตระกูลเหอให้กับเธอ เช่นนี้ ฉันจะได้ใช้เวลาฝึกฝนให้มากขึ้น อยากดูว่าก่อนตายจะก้าวหน้าได้อีกขั้นหรือไม่…”
ซูรั่วหลีรู้สึกคาดไม่ถึง ในขณะเดียวกันก็พูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ “คุณตา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า… อีกอย่าง สถานะของฉันก็อ่อนไหว ถ้าคนญี่ปุ่นรู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ มันจะเป็นการนำพาปัญหามาให้กับตระกูลเหอแน่นอน…”
ในเวลานี้เย่เฉินจึงพูดขึ้นว่า “รั่วหลี เรื่องนี้คุณไม่ต้องกลัว ผมคิดหาวิธีรับมือเอาไว้แล้ว หลังจากพรุ่งนี้ คุณจะสามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมของเธอได้อย่างเปิดเผย และคนญี่ปุ่นจะไม่มารบกวนคุณอีก”
“จะเป็นไปได้ยังไง?” ซูรั่วหลีพูดด้วยสัญชาตญาณ “ฉันเป็นอาชญากรระดับสูงสุดที่ทางญี่ปุ่นต้องการตัว…พวกเขา…พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่…”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง หลังจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะขอให้สำนักว่านหลงประกาศต่อสาธารณชนว่า ซูรั่วหลีเป็นสมาชิกของสำนักว่านหลงอย่างเป็นทางการ! คนญี่ปุ่นไม่กล้าต่อต้านสำนักว่านหลงอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาต้องเลือกที่จะยกเลิกประกาศจับตัวคุณ”
“แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีหน้าที่จะเพิกถอนหมายจับได้โดยตรง แต่ก็จะไม่ดำเนินการจับกุมคุณอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เช่นนี้ คุณก็จะสามารถกลับคืนสู่สถานะดั้งเดิมของคุณได้อย่างเปิดเผย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็กล่าวเสริมว่า “แน่นอน ฉันหมายถึงอิสรภาพ ในแง่ของความหมายโดยรวม ก็คือสามารถไปที่ไหนก็ได้ในโลกยกเว้นญี่ปุ่น ขอเพียงคุณไม่ไปญี่ปุ่นยั่วประสาทพวกเขา ก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
เมื่อซูรั่วหลีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดขึ้นมาอย่างซาบซึ้งด้วยดวงตาแดงก่ำ “คุณชายเย่ ขอบคุณมาก…ต่อไปรั่วหลีจะไม่ไปไหนอีกแล้ว แค่อยากคอยติดตามรับใช้เคียงข้างคุณไปทุกที่! ตราบใดที่คุณไม่ขับไล่รั่วหลีไปไหน…”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่จำเป็นต้องคอยติดตามรับใช้ผมไปทุกที่หรอก พรุ่งนี้พี่สาวของคุณจะกลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลซูอย่างเป็นทางการ คุณสามารถอยู่ข้างกายเธอและคอยช่วยเหลือเธอได้”
ซูจือหยูรีบบอกว่า “ผู้มีพระคุณ…รั่วหลียังอยากอยู่ข้างกายท่านแน่นอน…”
ในเวลานี้ซูรั่วหลีรู้สึกประหม่าและไม่สบายใจ กลัวว่าเย่เฉินจะไม่ยอมให้เธอติดตามเขาไปจริงๆ
เย่เฉินมองเห็นสีหน้าท่าทางของเธอทุกอย่าง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รั่วหลีก็ตามคนของตระกูลเหอกลับไปที่เมืองจินหลิงก่อน พวกของท่านเหอจะกลับไปที่วิลล่าหลังนั้น รั่วหลีพักอยู่ที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงไปก่อน”
ในที่สุดรั่วหลีก็โล่งอก เธอพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “ได้ค่ะ คุณชายเย่ รั่วหลีจะรอฟังการสั่งการของคุณอยู่ตลอดเวลา!”