คนตระกูลเย่ที่เสียใจภายหลัง ไม่ต่างกับเย่ฉางโคงและเย่เฟิงเท่าไหร่นัก

สมาชิกตระกูลเย่แต่ละคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนี้ ภายในใจเวลานี้เสียใจภายหลังอย่างที่สุดแล้ว

หากรู้แต่แรกว่าเย่เฉินมีความสามารถมากขนาดนี้ พวกเขาต่อให้ตายก็ไม่มีทางล่วงเกินเขา และยิ่งไม่มีทางออกไปซื้อชุดไว้ทุกข์ วางแผนว่าจะยอมจำนนต่อว่านพั่วจวิน

พวกเขาในตอนนี้ ก็เหมือนกับกบฎเหล่านั้นหลังจากสงครามได้รับชัยชนะ แต่ละคนนอกจากจะเสียใจภายหลังแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คืออับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีและไม่รู้จะติดตามใครดี

ในขณะนี้ ที่ด้านหลังของคนตระกูลเย่ ยังมีคนคุกเข่าอยู่อีกสองคน

สองคนนี้ก็คือซูเฉิงเฟิงรวมถึงซูโสว่เต้าสองคนพ่อลูกตระกูลซู

เดิมที อยู่สำนักว่านหลงคุกเข่าหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มค่อยออกเดินทางลงเขา นี่ก็ถึงเวลาของพวกเขาแล้วเช่นกัน แต่ซูเฉิงเฟิงขืนจะดึงซูโสว่เต้าให้คุกเข่าต่อ ยืนกรานจะคุกเข่าจนเย่เฉินมาถึง

เวลานี้ ทั้งสองคนได้ยินกับหูว่าเย่เฉินถึงกับส่งเฮเลน่าขึ้นนั่งบัลลังก์ควีนแห่งยุโรปเหนือ ภายในใจก็หวาดผวาสุดจะบรรยาย

สายตาของเย่เฉินก็เหลือบไปมองพวกเขาสองคนเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “ซูเฉิงเฟิง ซูโสว่เต้า พวกคุณสองคนทำไมยังอยู่ที่นี่?”

ซูเฉิงเฟิงรีบร้อนพูดว่า “ตอบคุณชายเย่……คุณไม่มา พวกเราไหนเลยจะกล้าจากไปไหนตามใจชอบ……”

เย่เฉินยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกคุณสองคนไม่ต้องมาแสดงอยู่ที่นี่แล้ว รีบกลับไปเตรียมตัว แล้วรีบออกเดินทางเถอะ”

พูดจบ เย่เฉินก็นึกถึงโอลิเวียขึ้นมา จึงเอ่ยปากกล่าวว่า “จริงสิ ซูเฉิงเฟิง ฉันหาคนงานกลุ่มหนึ่งให้กับสวนที่มาดากัสการ์ของนายในอนาคตแล้ว ในจำนวนนี้ก็องค์หญิงโอลิเวียสามคนครอบครัวของราชวงศ์ยุโรปเหนือ ถึงเวลาก็ถือเสียว่าพวกเขาเป็นทาสผิวดำเมื่อสมัยก่อน เรื่องจำพวกปลูกฝ้ายตัดอ้อย ก็มอบให้พวกเขาไปทำ”

ซูเฉิงเฟิงตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลอบพิจารณาอยู่ในใจ “โอลิเวียผู้นี้ไม่เพียงเป็นเจ้าหญิงของราชวงศ์ยุโรปเหนือ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ก่อนหน้านี้ด้วย พ่อของเธอก็เป็นเจ้าชายของราชวงศ์ยุโรปเหนือเช่นกัน แล้วจะเอาพวกเขาทั้งครอบครัวไปเป็นคนงานที่สวนของฉันในอนาคต? เย่เฉินเจ้าหมอนี่ไม่เป็นห่วงฐานะราชวงศ์ยุโรปเหนือเกินไปหน่อยหรือเปล่า……”

แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ปากของซูเฉิงเฟิงยังคงรับคำติดๆ กัน ก่อนจะก้าวขึ้นอย่างซาบซึ้งใจ “ลำบากคุณชายเย่แล้ว ยังต้องคอยคิดเพื่อผมทุกเรื่อง……”

เย่เฉินกล่าวเรียบๆ ว่า “นายไปมาดากัสการ์แล้ว จะต้องทำงานให้ฉันให้ดีๆ ต่อไปฉันอาจยังมีคนที่ต้องนำไปส่งยังที่นั่นของนาย”

ซูเฉิงเฟิงในใจตระหนกวาบ อดไม่ไหวเอามือทาบอกถามตัวเองว่า “ฉันไปมาดากัสการ์หนนี้ ที่แท้ไปเป็นเจ้าของที่ดินหรือไปเป็นผู้คุมนักโทษให้เย่เฉินกันแน่……”

แม้จะยังสับสน แต่เขายังคงพูดอย่างไม่ลังเลว่า “คุณชายเย่วางใจ ผมจะทำธุรกิจที่มาดากัสการ์ให้ดีอย่างแน่นอน ก่อนไปผมจะติดต่อกับจือหยูอีกที ตัดสินใจเรื่องรายละเอียดปีกย่อยให้ดีๆ”

เย่เฉินพูดขึ้นมาทันที “อย่ามัวเสียเวลา ฉันยังมีคนกลุ่มใหญ่รอจัดการอยู่ทางฝั่งยุโรปเหนือ”

ซูเฉิงเฟิงรีบกล่าวขึ้นด้วยความเคารพยำเกรง “ได้ครับ คุณชายเย่! ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ นับแต่นี้ไป ที่เหลืออยู่บนภูเขาเย่หลิงซานก็คือเรื่องของคนตระกูลเย่แล้ว พวกคุณไปเถอะ”

กล่าวจบ เขาก็เรียกทหารของสำนักว่านหลงมาสองสามนาย พลางเอ่ยปากว่า “พวกนายคุมตัวพวกเขาสองคนไปหาซูจือหยูที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง ให้พวกเขาทำเรื่องทั้งหมดที่สัญญาว่าจะทำก่อนหน้านี้ให้ดี”

ทหารสำนักว่านหลงสองสามนายรีบประสานมือกล่าวทันทีว่า “ครับ คุณชายเย่ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย!”

เห็นซูเฉิงเฟิงกับซูโสว่เต้าต่างถูกพาตัวไป เย่เฉินก็มองคนตระกูลเย่ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็หมุนตัวไปพูดกับเย่โจงฉวนว่า “ผมไปอยู่ตรงหน้าป้ายวิญญาณของพ่อแม่ผมสักเดี๋ยว พอคนกลุ่มนั้นที่เชิงเขาเดินทางโขกหัวขึ้นมา ก็ให้พวกเขาคุกเข่ารออยู่ที่นี่ก่อน”

เย่โจงฉวนกล่าวขึ้นอย่างไม่ลังเล “ไม่มีปัญหาเฉินเอ๋อ เธอไปเถอะ ที่นี่เป็นหน้าที่ฉันเอง”

เย่เฉินพยักหน้า เดินทะลุผ่านป้ายหลุมศพสองสามแถวไปเพียงลำพัง สาวเท้าเดินไปหยุดตรงหน้าสุสานของบิดามารดา พร้อมกับคุกเข่าลงอย่างช้าๆ

จ้องเขม็งไปที่รูปถ่ายของพ่อกับแม่ ในใจเย่เฉินทอดถอนใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง เขาอดกล่าวเสียงเบาขึ้นมาไม่ได้ “พ่อครับ ตอนนี้ลูกเป็นผู้นำตระกูลเย่แล้ว ปีนั้นหากคุณปู่ยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ท่านเร็วกว่านี้ คิดว่าท่านกับแม่ก็คงไม่มีทางเดินทางรอนแรมไปยังจินหลิง และยิ่งไม่มีทางเกิดหายนะจนตัวตาย……”

“พ่อแม่ ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ลูกจะต้องหาตัวฆาตกรที่ฆ่าท่านทั้งสองคนในปีนั้นให้เจอ เพื่อแก้แค้นให้กับพวกท่าน!”