พูดมาถึงตรงนี้ เย่เฉินก็มองไปยังโครงหน้าอันหล่อเหลาของบิดาในภาพถ่าย ก่อนจะสะอื้นไห้กล่าวว่า “พ่อ……ผมรู้ว่าปีนั้นพ่อคิดจะทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรื่องมาตลอด ทำให้ตระกูลเย่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ในตอนนี้ ลูกตัดสินใจแล้วว่าจะแบกความคิดในปีนั้นของพ่อขึ้นมา สักวันหนึ่งจะตัองทำให้ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลที่สุดยอดที่สุดของโลกให้ได้!”
กล่าวจบ เย่เฉินก็มองไปที่ภาพถ่ายของมารดาอีกครั้ง พร้อมกล่าวอย่างละอายใจว่า “แม่……พวกเขาต่างแนะนำผมว่าควรไปลองพบคุณตาคุณยายดู ผมเชื่อว่าแม่เองก็ต้องหวังให้ผมไปเยี่ยมพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่ผมกับคุณตาคุณยายพบปะกันน้อยมากจริงๆ อีกทั้งตอนนี้แม่เองก็ไม่อยู่แล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรไปเผชิญหน้ากับพวกเขาสองตายายอย่างไรดี ดังนั้นเรื่องนี้อาจยังไม่มีวิธีทำให้สำเร็จได้ชั่วคราว จึงหวังว่าแม่จะให้อภัย……”
หลังจากนั้น เย่เฉินก็ก้มตัวลงไป โขกศีรษะสามครั้งตรงหน้าป้ายหลุมศพของบิดามารดา
ต่อมา เขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ลูกจะอยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งสองให้มากหน่อย พรุ่งนี้ผมอาจจะต้องกลับจินหลิงแล้ว ตอนนี้ลูกยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยฐานะ จึงไม่ควรรั้งอยู่ที่เย่นจิงนาน แต่ต่อไปผมจะเจียดเวลามาเยี่ยมพวกท่านที่นี่บ่อยๆ ……”
กล่าวจบ เย่เฉินก็กล่าวอีกว่า “พอถึงตอนที่ลูกเปิดเผยฐานะต่อคนทั้งโลกอย่างเป็นทางการแล้ว ลูกจะต้องพาลูกสะใภ้ของพวกท่านทั้งสองมาที่นี่ด้วยกันอย่างแน่นอน และให้พวกท่านเห็นอีกครึ่งของลูก ทำให้พวกท่านวางใจ”
พูดมาถึงตรงนี้ ในใจเย่เฉินก็ห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง น้ำตาเองก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน
ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้น เย่เฉินก็ไม่เอ่ยคำใดอีก เพียงแค่คุกเข่ายืดตัวตรงต่อหน้าวิญญาณของพ่อแม่อย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด
คนตระกูลเย่ทำได้เพียงมองเห็นแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของเขาจากเบื้องล่าง ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มที่ปราบสำนักว่านหลง ทั้งยังอาศัยกำลังเพียงคนเดียว ทำการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของราชวงศ์ยุโรปเหนือได้เมื่อสักครู่ผู้นี้ จะกำลังหลั่งน้ำตาต่อหน้าหลุมศพของบิดามารดา
หลายชั่วโมงให้หลัง สมาชิกตระกูลย่อยส่วนใหญ่ ล้วนคุกเข่าเดินทางมาถึงด้านล่างประตูโค้งบนภูเขาแล้ว
พอเห็นว่าสมาชิกสายตรงตระกูลเย่ก็คุกเข่าอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่ละคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดอยู่บ้าง
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าใจว่าเพราะอะไรสมาชิกสายตรงก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็ถูกทหารของสำนักว่านหลงตวาดจนพากันทยอยคุกเข่าลงอีกครั้ง
พร้อมกับคนที่ขึ้นมายิ่งมายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ด้านล่างประตูโค้งของภูเขาเย่หลิงซานแทบจะเต็มไปด้วยคนที่กำลังคุกเข่า
เวลานี้ สีท้องฟ้าเริ่มเป็นเวลาเย็นแล้ว พระอาทิตย์สีทองกำลังสาดส่องไปทั่วภูเขาเย่หลิงซาน ทำให้ป้ายหลุมศพหินอ่อนสีขาวที่สลักชื่อผู้ตายเหล่านี้บนภูเขาเย่หลิงซานดูละลานตาเป็นพิเศษ
แสงอาทิตย์ตรงขอบฟ้าสะท้อนไปบนเงาหลังของเย่เฉิน ทุกคนต่างมองดูอย่างไม่ละสายตา รอคอยคำสั่งต่อไปของเขา
เพียงแต่เงาหลังนี้ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับมาหลายชั่วโมงแล้ว ราวกับหินแกะสลักก้อนหนึ่ง
ยามเมฆสีแดงที่กำลังสะท้อนสีแดงเพลิงบนขอบฟ้า เย่เฉินก็ค่อยๆ ลุกขึ้น หันศีรษะกลับมา มองดูคนตระกูลเย่ที่กำลังคุกเข่ากันอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เดินลงมาจากในสุสานอย่างช้าๆ
สมาชิกศูนย์กลางของตระกูลเย่ รวมถึงสมาชิกตระกูลย่อยล้วนใช้สายตามองไปทางเขา คนส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกถึงความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงสีหน้าท่าทางของเย่โจงฉวน และเย่ฉางซิ่วที่เจือแววรอคอยถึงสิบส่วน
เย่เฉินเดิมมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน กวาดสายตามองรอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “นับแต่นี้ไป พิธีไหว้บรรพบุรุษตระกูลเย่จากที่สิบสองปีมีครั้ง จะเป็นเป็นปีละครั้ง! รูปแบบพิธีการสามารถจัดแบบรวบรัดได้ แต่ทุกคนเมื่อถึงวันเทศกาลชิงหมิงจะตัองมากราบไหว้บรรพบุรุษด้วยตัวเอง ไม่ว่าใครก็ห้ามขาด!”
“นอกจากนี้ สมาชิกตระกูลย่อยทั้งหมด ทุกๆ สามเดือนจะต้องมาเย่นจิงเพื่อเปิดประชุมรายงานหนหนึ่ง โดยรายงานสถานการณ์ทางด้านธุรกิจที่ผ่านมาสามเดือนต่อตระกูลหลักอย่างละเอียด เช่นเดียวกันห้ามมีใครขาดไปเด็ดขาด! ทุกคนฟังเข้าใจหรือไม่?!”
ในมุมมองของเย่เฉิน ฟานอ๋องตระกูลย่อยเหล่านี้ของตระกูลเย่ ทุกสิบสองปีถึงจะมาที่นี่เพื่อเข้าเฝ้าหนึ่งครั้ง ความถี่เช่นนี้มันน้อยเกินไปจริงๆ และเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่มีความภักดีอะไรต่อตระกูลเย่โดยสิ้นเชิง ตระกูลเย่เองก็ไม่มีกำลังควบคุมพวกเขาอย่างแท้จริงเช่นกัน
ทว่านับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกอย่างจะต้องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในที่สุด
ให้ทุกปีพวกเขามาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทุกสามเดือนมารายงาน จะต้องให้ตระกูลหลักนี้เน้นไปที่การควบคุมและเอาจริงเอาจังกับพวกเขา
หากนำตระกูลเย่เทียบกับระบบราชสำนัก ตอนนี้สิ่งที่เย่เฉินต้องทำ ก็คือการรวมอำนาจจะทำให้ศูนย์กลางแข็งแกร่งขึ้น การแบ่งอำนาจจะทำให้ศูนย์กลางอ่อนแอลง เอาฟานอ๋องที่แยกตัวกันไปแต่ละแห่งกลุ่มนี้ กุมเอาไว้ในมือให้แน่น!