แรงบันดาลใจที่งานประมูลนำมา ทำให้เย่เฉินรู้สึกฮึกเหิมขึ้นไม่น้อย
หลังจากที่เขาออกจากโรงแรมป๋ายจินฮ่านกง ก็ไม่ได้กลับบ้านทันที แต่ไปรับหวังตงเสวี่ยนที่ตี้เหากรุ๊ป
ในขณะนี้ ในใจของเขายังมีแผนการที่ยาวยิ่งกว่าอยู่
เขาต้องการถือโอกาสนี้ เพิ่มขอบเขตกิจการของตระกูลเย่ในจินหลิงให้เข้มแข็งขึ้น
ขอเพียงแค่งานประมูลครั้งนี้ของตนเป็นไปอย่างราบรื่น การให้ความสนใจในจินหลิงจะต้องได้รับการยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน ในเวลานี้ ราคากิจการของจินหลิงก็คงยกระดับเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ถึงตอนนั้น ราคาที่ดินของจินหลิงจะต้องเพิ่มสูงขึ้น ราคาห้องคอนโดก็เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศก็จะเพิ่มขึ้น รวมทั้งความสามารถในการบริโภคและระดับการพัฒนาเศรษฐกิจก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น หากทำการวางแผนขอบเขตไว้ก่อนล่วงหน้า จะต้องทำให้ตระกูลเย่คว้าโอกาสที่จะก้าวกระโดดขึ้นในครั้งนี้ได้แน่นอน!
ดังนั้น เขาจึงเตรียมระดมเงินทุน กักตุนที่ดินในจินหลิงอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็ลงทุนกับกิจการให้บริการระดับสูงในจินหลิงเยอะๆ ด้วย
ก็คล้ายกับลาสเวกัสในอเมริกา ไม่เพียงแต่คาสิโนที่เรียงราย โรงแรมระดับไฮเอนด์ ร้านกลางคืน รวมทั้งภัตตาคารร้านอาหารก็ยิ่งนับไม่ถ้วน
เมื่อคาสิโนทำเงินได้ กิจการระดับไฮเอนด์ที่คู่กันเหล่านั้นก็ได้รายได้จำนวนมากตามมาด้วย
สำหรับอสังหาริมทรัพย์ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เย่เฉินถึงขั้นคิดว่า ตนสามารถที่จะสร้างเขตคฤหาสน์หลังเดี่ยวระดับไฮโซในจินหลิงได้โดยไม่มีปัญหาเลย สำหรับราคาขายให้ต่างประเทศก็สามารถเพิ่มเป็นเท่าตัวหรือสิบเท่าจากราคาตลาดได้ หนึ่งหลังราคาห้าร้อยล้านขึ้นไป ค่าส่วนกลางปีละห้าสิบล้านขึ้น
อย่าคิดว่าจะขายไม่ออก ไม่มีทางที่จะขายไม่ออก!
เพราะว่า ขอเพียงเย่เฉินนำยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ดออกมาเป็นการส่วนตัวทุกปี จากนั้นก็จัดงานประมูลเฉพาะภายในขึ้น เปิดให้เฉพาะเจ้าของกิจการเหล่านี้เท่านั้น คฤหาสน์เหล่านี้ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะขายไม่ออก
สรุปแล้ว ขอแค่ต้องเผยแพร่มูลค่าของยาอายุวัฒนะออกไปสุดกำลังที่มี มันก็สามารถเกิดเป็นผลประโยชน์เป็นแรงผลักดันอย่างต่อเนื่องให้กับกิจการตระกูลเย่ รวมถึงเศรษฐกิจของจินหลิงได้!
เมื่อมาถึงตี้เหากรุ๊ปแล้ว เย่เฉินก็ขึ้นลิฟต์ประธานมายังชั้นที่หวังตงเสวี่ยนอยู่ทันที
เลขาของหวังตงเสวี่ยนเมื่อเห็นเย่เฉินมาแล้ว จึงรีบเอ่ยด้วยความสุภาพว่า: “สวัสดีค่ะคุณชาย คุณมาหารองประธานหวังเหรอคะ?”
เย่เฉินพยักหน้า ถามเธอว่า: “รองประธานพวกเธออยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ค่ะ” เลขาเอ่ย: “แต่ว่ารองประธานหวังกำลังรับแขกอยู่ค่ะ หรือไม่คุณไปนั่งรอในห้องรับรองก่อนสักครู่ เดี๋ยวฉันจะไปบอกกล่าวกับท่านให้ค่ะ”
“โอเค” เย่เฉินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ: “บอกเธอว่าไม่ต้องรีบร้อน จัดการงานในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้เลยค่ะคุณชาย”
เย่เฉินเดินมาห้องรับรองข้างห้องทำงานของหวังตงเสวี่ยนตามเลขาสาว เพิ่งจะถึงหน้าประตู เลขาสาวก็ผลักเปิดประตู เอ่ยกับเย่เฉินว่า: “คุณชายคะ คุณนั่งรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปบอกท่านรองประธานให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“โอเค” เย่เฉินรีบเอ่ยปากตอบรับ
สิ้นเสียง ประตูห้องข้าง ๆ ก็เปิดออก ทันใดนั้นเย่เฉินก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังเข้ามา: “รองประธานหวังส่งแค่นี้พอค่ะ ฉันไปเองก็ได้”
เย่เฉินจำเสียงนี้ได้ทันที ไม่นึกว่าจะเป็นเสียงภรรยาตน เซียวชูหรัน
ในเวลานี้ หวังตงเสวี่ยนยิ้ม เอ่ยว่า: “ประธานเซียวไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันไปส่งคุณถึงลิฟต์ก็พอ”
จากนั้น เย่เฉินก็เห็นภรรยาตนเองเซียวชูหรันเดินออกมาจากห้องทำงานของหวังตงเสวี่ยน
เมื่อเห็นเซียวชูหรันจากด้านข้าง เย่เฉินก็รีบแวบเข้าห้องรับรองทันที พร้อมทั้งปิดประตูห้อง
ส่วนเซียวชูหรันเห็นเป็นหางตาว่ามีเงาของคนแวบเข้าไปในห้องข้างๆ เท่านั้น เมื่อมองไปดูอย่างละเอียด ก็เห็นเพียงเลขาของหวังตงเสวี่ยนที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ พร้อมเอ่ยถามคนข้างในด้วยความลังเล: “คุณชาย…คุณ…ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
เย่เฉินไม่ได้ตอบกลับ เพราะเขากลับว่าต่อให้ตนจะจงใจเปลี่ยนเสียง ก็คงถูกเซียวชูหรันจับได้
หวังตงเสวี่ยนเดินออกมาตามหลังเซียวชูหรันพอดี เมื่อได้ยินเลขาตัวเองเอ่ยคำว่าคุณชายสองคำนี้ จึงรีบเอ่ยถาม: “เสี่ยวหลี่ เกิดอะไรขึ้น?”
เลขารีบเอ่ย: “รองประธานหวังคะ คุณชายมาพบค่ะ บอกว่ามีธุระกับคุณ แต่ว่า…”
หวังตงเสวี่ยนรีบโบกมือให้เธอ เอ่ยว่า: “เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว เธอรีบไปทำธุระเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณเซียวเสร็จแล้วจะไปพบคุณชาย”
แม้ว่าเลขาจะรู้สึกว่าท่าทางของหวังตงเสวี่ยนแปลกๆ ทว่าเนื่องจากจรรยาบรรณในอาชีพทำให้เธอไม่ถามอันใดทั้งสิ้น เธอเอ่ยทันทีว่า: “รับทราบค่ะท่านรองประธานหวัง งั้นฉันขอตัวไปทำงานต่อแล้วนะคะ”
สิ้นเสียงก็หันหลังเดินจากไป