บทที่ 5 – The Border and The Tower

 

ภายในปีคริสต์ศักราชที่ 2025.. ได้มีภัยพิบัติลึกลับปรากฏขึ้น.. ภัยพิบัตินี้ผู้คนเรียกมันว่า ‘The Border’ (พรมแดน)

บอร์เดอร์ มันปรากฏขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่นเป็นประตูขนาดใหญ่ที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากผืนดินทำให้ตึกราวบ้านช่องถล่มลงอย่างปริศนา

ประตูของบอร์เดอร์ขนาดเล็กที่สุดก็ยังมีความสูงมากกว่าสิบเมตร จึงไม่แปลกที่มันจะทำลายทุกอย่างที่อยู่บริเวณมันปรากฏได้

แน่นอนว่าเบื้องหลัง ‘บอร์เดอร์’ คือดินแดนลึกลับอันพิศวงที่ไม่เคยมีใครรู้จัก ภายใต้ความวิตกกังวลของมนุษยชาติ

ก็ได้มีองค์กรหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาอ้างว่าพวกเขาได้รับรู้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมวิธีรับมือไว้แล้ว

องค์กรนี้มีชื่อว่า ‘บอร์เดอร์ไลน์’ (Borderline) พวกเขาได้รวบรวมคนและแบ่งแยกกำลังเพื่อไว้ในประตูบอร์เดอร์แต่ละแห่ง

ราวกับสร้างเส้นแบ่งพรมแดนขึ้นมาเหมือนชื่อองค์กรพวกเขา.. และบอร์เดอร์ก็เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่อย่างแท้จริง

เบื้องหลังบอร์เดอร์นั้นคือโลกอีกใบที่.. มีวิทยาการ มีแนวคิด มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกับโลกของเราในปัจจุบัน

พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นขุมทรัพย์อีกแห่งอย่างแท้จริง… แต่น่าเสียดายที่หากไม่ทำลายประตูบอร์เดอร์ภายในเวลาที่กำหนด

ประตูจะแตก.. และโลกก็จะเกิดภัยพิบัติอย่างไม่คาดคิด นั่นคือคำพูดของคนจากองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ที่พูดไว้ซึ่งแน่นอนมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ

จนกระทั่งในปี 2026 .. ประตูบอร์เดอร์ปรากฏขึ้นบนดวงจันทร์และแตกออกส่งผลให้ดวงจันทร์อีกดวงปรากฏขึ้น

ยังดีที่มันไม่พุ่งชนกัน.. แต่ถึงแบบนั้นถ้าเป็นโลกละก็คงชนกันแน่ๆ..แน่นอนว่าโลกปัจจุบันที่มีดวงจันทร์สองดวงล้วนส่งผลกระทบต่างๆ ต่อโลกมากกว่าที่คิด

ที่เห็นชัดก็น้ำทะเลแรงขึ้น ปลาในทะเลต่างได้รับผลกระทบ.. ประเทศญี่ปุ่นที่เป็นเกาะกลางทะเลได้รับผลกระทบมากที่สุดเช่นเดียวกัน

แต่ก็เพราะประตูบอร์เดอร์อีกนั่นแหละ.. ที่ช่วยพวกเขาไว้นั่นคือ ‘วิทยาการ’ จากโลกอีกใบได้ช่วงสร้างกำแพงล้อมรอบประเทศญี่ปุ่นเอาไว้

ประตูบอร์เดอร์ได้เชื่อมต่อเข้ากับโลกอีกใบซึ่งเป็นโลกยุคอนาคตและกำแพงที่ว่านี่ก็คือผลลัพธ์จากอารยธรรมจากอีกโลกนั่นเอง

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้อารยธรรมจากอีกโลกได้.. คนที่จะใช้พลังจากอีกโลกหรือในบอร์เดอร์ได้จะมีเพียงแค่คนจากบอร์เดอร์ไลน์

ซึ่งพวกเขาได้รับสารชนิดพิเศษที่สกัดมาจากแร่ลึกลับที่ถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาไฟใต้ทะเลลึก… แต่องค์กรบอร์เดอร์ไลน์ก็ไม่ได้เก็บสิ่งนี้ไว้กับตนเพียงผู้เดียว

ในระยะเวลาเพียงห้าปีเท่านั้นนับตั้งแต่ที่บอร์เดอร์ปรากฏขึ้น.. โลกก็แทบจะเปลี่ยนไป กลายเป็นโลกแห่งยุคอนาคตไซไฟ

รวมถึงเป็นโลกที่มีอารยธรรมจากโลกแฟนตาซีอย่างเวทมนตร์ หรืออารยธรรมจากโลกคล้ายเกมอย่างสกิลอะไรพวกนั้น

โลกในปีคริสต์ศักราชที่ 2030 จึงก้าวกระโดดไปร่วมร้อยปีอย่างรวดเร็ว!

ทว่านั่นยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดของความแปลกประหลาดบนโลกนี้เพราะ.. ในปี ค.ศ. 2030 ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นได้มีการปรากฎตัวขึ้นของหอคอยปริศนาทยอยร่วงลงมาจากท้องฟ้า

‘The Tower’ ได้ปรากฏขึ้นเจ็ดแห่งทั่วโลก! จู่ๆ มันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและร่วงลงบนพื้นผิวโลก สร้างผลกระทบที่รุนแรงยิ่งยวด

ยังดีที่โครงสร้างเมืองในปัจจุบันออกแบบมาเพื่อแข็งแรงจึงไม่นับว่าทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศ แต่ก็ยังคงเป็นภัยพิบัติอยู่ดี

หอคอยหรือ The Tower ทั้งเจ็ดปรากฏขึ้นทั่วโลกตามสถานที่ต่างๆ ได้แก่ที่ทะเลแปซิฟิกเหนือ..หอคอยแห่งท้องทะเลผู้คนเรียกมันแบบนั้น

หอคอยแห่งฤดูหนาว.. ปรากฏขึ้นที่ขั้วโลกเหนือ

หอคอยแห่งความพิศวง.. ปรากฏขึ้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

หอคอยแห่งอารยธรรม.. ปรากฏขึ้นที่ใกล้ๆ กับอะโครโพลิสที่ประเทศกรีซ

หอคอยแห่งความการก่อสร้าง.. ปรากฏขึ้นที่อียีปต์

หอคอยแห่งความแห้งแล้ง.. ปรากฏขึ้นระหว่างประเทศเปรูไปและชิลี

และหอคอยสุดท้าย หอคอยแห่งกาลอวกาศ.. มันเป็นหอคอยที่ใหญ่ที่สุดในเจ็ดหอคอย และไม่ได้ตั้งอยู่บนโลก.. แต่ลอยเคว้งอยู่นอกโลกเหมือนเป็นดาวบริวารของโลก นอกจากดวงจันทร์สองดวง

ขนาดมันใหญ่พอจะเห็นเป็นเหมือนกระบองที่ลอยเคว้งอยู่ข้างๆ ดวงจันทร์

ใช่.. มันอยู่นอกโลก!

แต่หอคอยนั้นไม่เหมือนในประตูบอร์เดอร์ เพราะมันไม่เหมือนระเบิดเวลา มันจะอยู่แบบนั้นไม่มีผลกระทบอะไรมาก

แต่ทรัพยากรภายในหอคอยนั้นล้วนมีแต่สิ่งที่น่าดึงดูด แถมทรัพยากรในหอคอยยังสามารถทำลายขีดจำกัดวิทยาการในโลกปัจจุบันได้

แม้โลกปัจจุบันจะสามารถเอาวิทยาการมาจากบอร์เดอร์ได้ แต่ยังมีลางอันที่โลกปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตได้ แต่หอคอยที่ว่านี้คือคำตอบ!

ไม่มีคนรู้ว่าหอคอยเหล่านี้มีกี่ชั้น หรือมีไปเพื่ออะไร หรือขนาดภายในโลกที่พวกเขาเข้าไปมันใหญ่ขนาดไหน

แต่ทุกคนที่เคยเข้าไปต่างอธิบายเป็นอย่างเดียวกันว่ามันคือโลกอีกใบ.. ที่ไม่เหมือนบอร์เดอร์..เพราะคนในโลกบอร์เดอร์บางโลกจะไม่มองว่าเราเป็นศัตรู

แต่ในหอคอย.. ทุกสิ่งมีชีวิตจะมองว่าเราเป็น ‘ศัตรู’ ที่ต้องกำจัด.. ประเทศต่างๆ ล้วนมองหอคอยว่าเป็นสมบัติแห่งยุคอย่างแท้จริง

แม้พวกเขาไม่เคยผ่านชั้นที่ 5 มาก่อนแต่ทรัพยากรจาก 4 ชั้นแรกมันก็มากพอที่จะเรียกว่าไร้สิ้นสุดได้แล้ว แถมแต่ละหอคอยจะมีโลกในแต่ละชั้นไม่เหมือนกันด้วย

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแย่งชิงหอคอยอย่างแท้จริง เพราะประตูบอร์เดอร์มันสามารถหายไปได้เหล่าคนใหญ่คนโตเลยแบ่งว่ามันโผล่ที่ไหน คนนั้นก็เป็นเจ้าของ

แต่หอคอยไม่ใช่แบบนั้น.. หอคอยมันคือสมบัติที่มีผลผลิตแทบไร้จุดสิ้นสุด เลยก็ว่าได้ อย่างน้อยก็ในมุมมองของคนเหล่านั้น

ดังนั้นการแย่งชิงจึงเริ่มขึ้น

แต่.. องค์กรที่ไม่สังกัดประเทศไหนเลยที่เริ่มมีอิทธิพลมาตั้งแต่ประตูบอร์เดอร์.. จนปัจจุบันแทบจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของโลกยุคใหม่นี้

ใช่แล้ว องค์กรบอร์เดอร์ไลน์เจ้าเก่าเจ้าเดิมจึงขอเสนอ.. สร้างเมืองขึ้นล้อมรอบของหอคอยและทุกคน ‘สามารถเข้า’ หอคอยได้โดยไม่มีข้อจำกัด

ใครที่ได้ทรัพยากรกลับมาก็เป็นของบุคคลนั้นๆ.. เมืองแต่ละเมืองจะไม่อยู่ในประเทศไหน กฎหมายคนบังคับใช้จะเป็นองค์กรเอง

แต่จะบังคับใช้กฎหมายต้องมีการยอมรับจากรัฐบาลโลกก่อน.. ใช่ พวกเขาก่อตั้งสภารัฐบาลโลกขึ้นโดยรวมบุคคลที่มีสิทธิ์สูงสุดอย่างนายกรัฐมนตรีเข้ามา

หากมีคนเห็นด้วยมากกว่า 5 ใน 10 บอร์เดอร์ไลน์จะมีสิทธิ์ในการบังคับใช้กฎหมายทันที ถ้าหากเป็นกรณีที่ร้ายแรงน่ะ

แต่ถ้าเป็นเล็กน้อยคนจัดการจะเป็นบอร์เดอร์ไลน์ทั้งหมดนั่นเอง… เนื่องจากไม่มีข้อสรุปที่ดีกว่านี้จึงลงประชามติเช่นนี้นั่นเอง

และภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากหอคอยปรากฏขึ้นในปีคริสต์ศักราชที่ 2033 เมืองขนาดใหญ่จึงปรากฏขึ้นรอบหอคอยด้วยวิทยาการที่ล้ำโลกไปไกล

การจะสร้างเมืองขนาดใหญ่ภายในระยะเวลาสามปีไม่นับเป็นเรื่องแปลกอะไรเลยแม้แต่น้อย.. เมืองทั้งหกรอบหอคอยถูกสร้างขึ้น

เมืองลอยน้ำแห่งแปซิฟิกเหนือ

เมืองแห่งฤดูหนาว ขั้วโลกเหนือ

เมืองใต้ทะเลอันพิศวงแห่งเบอร์มิวด้า

เมืองอะโครโลพลิส แรกเริ่มก็มีเมืองอยู่แล้วแต่ปัจจุบันก็หลากหลายกว่าเดิม

เมืองแห่งพีระมิด ตั้งอยู่อียิปต์

และสุดท้ายเมืองแห่งความร้อน ตั้งอยู่ตอนใต้ของประเทศเปรูไปจนถึงตอนเหนือของประเทศซิลี….

และใช่.. นี่คือโลกอันวุ่นวายในปัจจุบัน

ปีคริสต์ศักราช 2033!

…………..

วันที่ 20

“เฮ้ เราจะลงไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ เรือดำน้ำของพวกเรามันเป็นแค่เศษซากจากประตูบอร์เดอร์ปี 2049 เองนะ”

เดือนเมษายน

“หุบปากน่า.. ถ้านายกลัวขนาดนั้นก็จะตามมาตั้งแต่แรกทำไมละห้ะ?!”

ปีค.ศ. 2033

“ก็ถ้าไม่ตามเธอมา เธอจะมุทะลุแบบนี้ไงเนี่ย จะอยากได้ไอ้แร่พิเศษนั่นทำห่าอะไรนักหนาเนี่ย”

ใต้ทะเลลึกจากผิวน้ำหลายพันเมตรในช่องรอยแยกของผืนดิน

“ก็ไอ้แร่บ้านั่นมันจะทำให้ฉันใช้พลังอารยธรรมได้ แล้วฉันจะได้เข้าหอคอยได้ไง ฉันก็บอกไปหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ!?”

เรือดำน้ำขนาดเล็กไม่ใหญ่แต่ล้ำสมัยกว่าปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัดลอยลึกลงใต้ทะเลอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทั้งที่เหมือนเรือดำน้ำจะเริ่มแย่แล้ว

“เรื่องนั้นฉันรู้ว้อย แล้วหล่อนจะอยากเข้าหอคอยทำไมนักหนา ครอบครัวหล่อนก็ไม่ได้ไม่มีอันจะกินไม่ใช่หรือไง”

“เฮ้อ เคนจิ นายนี่ไม่เข้าใจความแฟนตาซีเลยน้า ฉันแนะนำมังงะเกาหลีให้นายอ่านหลายเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ความน่าสนใจของการไต่หอคอยน่ะ!”

“โทษที พอดีฉันเป็นสายต่างโลกเกิดใหม่อะนะ ที่เธอแนะนำมาฉันไม่อ่านสักเรื่องเลย คาโอรุ”

ทั้งสองพูดเสียงซุบซิบกัน ทั้งคู่เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายเพียงเท่านั้น แต่ในยุคแบบนี้นักเรียนลงมาล่องทะเลลึกกว่าพันเมตรไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรขนาดนั้นนะ

เอ่อ.. อาจจะแปลกเพราะสองคนนี้ไม่ปกติก็เหอะ

“แกนะแ— เอ้ะ นั่นมันแร่หรือเปล่า?”

“เพ้อเจ้ออะไรของเธอ ถ้ามันเจอง่ายขนาดนั้น ผู้ใช้อารยธรรมคงล้นโลกไปแล้วเฟ้ย”

“นายแหกตาดูก่อนจะเถียงได้ไหม”

สาวน้อยคาโอรุชี้นิ้วไปยังปลายทางกระจกกันน้ำที่ต้านทานแรงดันน้ำในตอนนี้ได้สบาย ซึ่งด้านนอกกระจกมีแสงที่แยงไปตรงหน้า.. เคนจิเองก็หันตามไปในทิศทางเดียวกัน

แต่ทว่าเมื่อทั้งสองถ่างตาดูให้ชัดขึ้น ดวงตาของพวกเขาทั้งสองถึงได้เบิกกว้างขึ้นด้วยความสับสน

“ห้ะ.. คาโอรุ.. นั่นมันไม่ใช่แร่แล้วนะนั่น”

“อืม นายเห็นเหมือนฉันเลยใช่ไหม..”

“อืม.. นั่นมัน”

“คนไม่ใช่เหรอ!!!”

เบื้องหน้าแสงไฟที่แยงไปพวกเธอพบผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ใต้ทะเลลึก… โดยที่ร่างกายเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดันใต้ทะเลลึกเลยสักนิด!