ตอนที่ 5 เก้าเข็มเปิดนภา
ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ร้านบะหมี่ลุงซานด้วยกัน..
“ว่ายังไงเสี่ยวหนาน ซินเย่ว.. วันนี้เหมือนเดิมมั๊ย?” ชายผมขาวชื่อว่าลุงหลิวเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครับลุงซาน เหมือนเดิมทุกอย่าง!” หลินหนานพยักหน้า และตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
“ได้ๆ รอประเดี๋ยวเดียวนะ..” หลิวเหล่าซานโบกไม้โบกมือให้
หลังจากที่หลินหนานและเฉิงซินเย่วนั่งลงได้ไม่นานนัก หลิวเหล่าซานก็ยกชามบะหมี่เนื้อตุ๋นมาเสริฟให้ ลูกค้าคนอื่นๆ ได้เนื้อเพียงแค่สองสามชิ้นเท่านั้น แต่ชามของหลินหนานและเฉิงซินเย่วนั้น กลับมีเนื้อกองอยู่เต็มชาม
ทั้งสองคนจ้องมองชามบะหมี่ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย..
“ลุงซาน.. นี่ลุงให้แถมให้พวกเราสองคนมากเป็นพิเศษอีกแล้วใช่มั๊ยครับ? ดูสิ.. บะหมี่ของเราสองคนมีเนื้ออยู่เต็มชามเลย!”
“ช่างเถอะๆ ฉันให้พวกเธอกินแค่นี้ มันไม่ได้ทำให้ฉันยากจน จนเหลือแต่กางในหรอกน่า!”
“……”
เฉินซินเย่วที่หน้าแดงก่ำได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาและรู้สึกอึดอัดกับตอบล่อแหลมของลุงซาน ส่วนหลินหนานก็เพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
หลิวเหล่าซานที่มีผมขาวกว่าครึ่งหัว ทำตาโตพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง “เธอพูดมากไปแล้ว! ฉันชอบใครฉันก็ให้เนื้อเยอะหน่อย ใครจะทำไม?”
จากนั้นหลิวเหล่าซันก็หันไปขยิบตาให้กับเฉิงซินเย่ว พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ซินเย่ว อย่าฟังพวกเราสองคนพูดเพ้อเจ้อเลย รีบๆกินบะหมี่ดีกว่า!”
“ขอบคุณค่ะลุงซาน..” เฉิงซินเย่วพยักหน้า เธออบอุ่นใจทุกครั้ง เพราะหลิวเหล่าซันนั้นดีกับเธอมาตลอด
“ขอบคุณทำไมกัน!! อีกหน่อยพอเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันก็จะได้หน้าไปด้วย ถึงตอนนั้นฉันจะคุยอวดคนให้ทั่วเลยทีเดียว ไม่แน่ว่าร้านบะหมี่ของฉันก็จะยิ่งโด่งดังขึ้นกว่าเดิมอีก!” หลิวเหล่าซันวาดฝันไว้อย่างสดใส
“ลุงซาน.. นับว่าเป็นแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว!” หลินหนานเอ่ยชมพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
“นี่.. ฉันไม่ได้โง่หรอกนะ! นี่เรียกว่าการลงทุนยังไงล่ะ คนสมองทึบอย่างเธอจะไปรู้อะไร!” พูดจบเหล่าซันก็กรอกตามองค้อนหลินหนาน
ทั้งสามคนต่างก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข..
“เอาล่ะ.. พวกเธอสองคนกินไปก่อนนะ ฉันจะไปดูเนื้อที่ตุ๋นอยู่ แล้วอย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ!” พูดจบหลิวเหล่าซานก็เดินกลับเข้าไปข้างใน
เฉิงซินเย่วมองหน้าหลินหนานพร้อมกับเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เหมือนเดิมนะ?!”
“ได้เลย!! เหมือนเดิม!” หลินหนานพยักหน้าเห็นด้วย
เฉิงซินเย่วหัวเราะ และรีบใช้ตะเกียบในมือคีบผักชีในชามบะหมี่ไปใส่ชามของหลินหนานทันที..
“เธอนี่แปลกจังเลย! ในเมื่อไม่ชอบกินผักชี ทำไมไม่บอกลุงซานไม่ต้องใส่ผักชีล่ะ?” หลินหนานถามขึ้นด้วยความสงสัย
เฉิงซินเย่วยื่นหน้าเข้าไปใกล้หลินหนานพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ลุงซานคอยดูแลฉันแบบนี้ ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้กับเขาน่ะสิ!”
หลินหนานถึงกับยิ้มขื่น และได้แต่ส่ายหน้าไปมา..
เด็กสาวคนนี้ช่างมีจิตใจอ่อนโยนและคิดถึงคนอื่นยิ่งนัก!
จากนั้นทั้งสองคนต่างก็ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ในชามของตน และนี่คือช่วงเวลาที่ทั้งคู่รู้สึกผ่อนคลายและสบายที่สุด..
บะหมี่ที่ปรุงด้วยน้ำมันซึ่งมีรสเผ็ดนิดๆ กับเนื้อรสจัดจ้าน ช่างเป็นอะไรที่อร่อยมากจริงๆ!
“อ้า…”
หลินหนานร้องออกมาอย่างมีความสุข หลังจากที่ได้ลิ้มรสน้ำซุปเนื้อจัดจ้านเข้าไป และในต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศค่อนข้างเย็นนั้น การได้กินบะหมี่ซุปเนื้อเข้าไปสักชาม สามารถไล่ความเย็นได้เป็นอย่างดี
“นี่เธออิ่มแล้วเหรอ?” หลินหนานเอ่ยถามเมื่อเห็นเฉิงซิงเย่วหยิบกระดาษขึ้นเช็ดริมฝีปากเล็กๆสีแดงจิ้มลิ้มนั่น
“ถ้าได้กินเกี๊ยวร้านป้าหวังอีกสักชามก็จะดีมากเลย!” เฉิงซินเย่วยิ้มกว้าง
“ต่อด้วยขนมขบเคี้ยวมั๊ย?” หลินหนานหัวเราะร่วน
“ฉันโตแล้วนะ!” เฉิงซินเย่วร้องตอบพร้อมกับยืดตัวตรงอวดทรวดทรง
หลินหนานได้แต่เหลือบมอง และในใจก็คิดว่า เฉิงซินเย่วไม่เพียงสูงขึ้นมาก แต่เรือนร่างของเธอก็โตเป็นสาวขึ้นมากแล้วเช่นกัน เวลานี้แม้แต่ชุดนักเรียนยังไม่สามารถปกปิดทรวดทรงของหญิงสาวไว้ได้
‘เห้ย.. นี่มันน้องสาวของหยินอิงนะ! หลินหนานนี่นายกำลังคิดอะไร?’ หลินหนานรีบร้องเตือนตัวเองอยู่ในใจ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากจ่ายค่าบะหมี่ลุงซานแล้ว หลินหนานกับเฉิงซินเย่วก็ไปที่ร้านเกี๊ยวของป้าหวังซึ่งอยู่สุดถนนด้านใต้พอดี
เฉิงซินเย่วกินเกี๊ยวชามโตของป้าหวังจนหมดชาม..
“นี่เธออิ่มแล้วใช่มั๊ย?” หลินหนานเอ่ยถาม
“ฉันอิ่มจนจุกเลยล่ะ!”
เฉิงซินเย่วพยักหน้าอย่างพออกพอใจ ทุกๆวันเสาร์ตอนบ่ายที่เธอได้อยู่กับหลินหนาน คือช่วงเวลาที่เธอรู้สึกสบายใจที่สุด
เมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้ พี่ชายคนใหม่คนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในชีวิตของเธอ ทำให้ชีวิตที่เศร้าหมองของเธอเริ่มมีสีสันมากขึ้น
“ในเมื่อกินจนอิ่มแล้ว ก็ได้เวลากลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว เธอต้องขยันให้มาก อย่าประมาทล่ะ!” หลินหนานร้องบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ.. คุณครูหลิน!” เฉิงซินเย่วหัวเราะคิกคักพร้อมกับล้อเลียนหลินหนาน
ระหว่างที่เดินไปตามถนน ทั้งคู่ก็คุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งสองคนเดินคุยกันไปก็หัวเราะกันไปจนกระทั่งมาถึงห้องเช่าของตัวเอง
“พี่หนาน.. ฉันไปฝึกทำข้อสอบก่อนนะ!” เฉิงซินเย่วร้องบอก
“อืมม ไปสิ!” หลินหนานพยักหน้า
หลังจากที่เห็นเฉิงซินเย่ววิ่งเข้าไปในบ้าน หลินหนานก็เดินถือกุญแจไปเปิดห้องที่อยู่มุมสุดทางด้านตะวันออก..
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว หลินหนานก็จัดการล็อคประตูห้องไว้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที จากนั้นจึงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น และค่อยๆคลำหาบางสิ่งบางอย่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับลวดทองแดงขนาดเล็กเท่าเส้นผมเข้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นโล่งใจขึ้นมาทันที
เส้นลวดทองแดงยังไม่ขาดออกจากกัน หมายความว่าไม่มีใครแอบเข้ามาในห้องของเขา..
หลังจากที่จัดการตัดสัญญาณเตือนภัยแล้ว หลินหนานจึงได้เดินไปเปิดไฟในห้อง เมื่อไฟสว่างขึ้น จึงเผยให้เห็นห้องที่มิได้กว้างใหญ่นั้นอย่างชัดเจน
ภายในห้องมีเพียงแค่โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว ตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบ และเตียงนอนหนึ่งเตียง ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเดียวที่มีในห้องก็คือวิทยุโบราณๆหนึ่งเครื่อง
หลินหนานเดินเข้าไปข้างตู้เสื้อผ้า ก่อนจะค่อยๆผลักตู้ให้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม เผยให้เห็นพื้นกระเบื้องที่อยู่ด้านล่าง..
หากสังเกตให้ดีและละเอียดจะพบว่า ขอบพื้นกระเบื้องใต้ตู้แผ่นหนึ่งนั้น จะดูลึกกว่ากระเบื้องแผ่นอื่นๆที่อยู่รอบๆ หลินหนานจัดการหยิบกระเบื้องแผ่นนั้นขึ้นมาวางไว้บนเตียง ก่อนจะหยิบบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านล่างออกมา
มันคือตรีศูลเก่าๆด้ามหนึ่ง!
ตรีศูลคืออาวุธที่มีลักษณะคล้ายหอก เพียงแต่ที่หัวมีลักษณะเป็นของแหลมคล้ายหนามสามแท่ง จากรูปลักษณ์ของมันนั้นดูคล้ายกับว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี เพราะที่ด้ามจับนั้นมีความสึกหรอให้เห็นบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงมองเห็นลวดลายมังกรล้อมรอบอยู่
ที่ปลายแหลมทั้งสามของตรีศูลนี้ เป็นเงาวาววับ และยังคงมีคราบเลือดจางๆปรากฏอยู่ ทุกครั้งที่หลินหนานสัมผัสกับตรีศูลนี้ เขารู้สึกราวกับว่าได้นำพบเห็นสหายร่วมเป็นร่วมตายของตัวเอง และทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในสนามต่อสู้ครั้งนั้น
และเลือดในกายของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง..
หลินหนานสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้ปลายของตรีศูลนี้งัดกระเบื้องอีกแผ่นขึ้นอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นช่องว่างที่อยู่ใต้กระเบื้องแผ่นนั้น
หลินหนานเอื้อมมือลงไปหยิบกล่องไม้เล็กๆ ที่มีลวดลายลึกลับใบหนึ่งขึ้นมา และยิ่งเห็นกล่องไม้ใบนี้ สีหน้าของหลินหนานก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเขาเปิดกล่องไม้นั้นออก สิ่งที่อยู่ในนั้นก็คือภาพถ่าย..
มันคือภาพถ่ายของชายหนุ่มในชุดทหารทั้งเก้าคน ชายหนุ่มแปดคนทาหน้าของตนเองด้วยสีน้ำมัน โดยมีหลินหนานยืนอยู่ตรงกลาง และทุกคนก็กำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข
นี่คือภาพถ่ายเพียงภาพเดียวของหน่วยมังกรซ่อนกาย!
“พวกนายไม่ต้องห่วง ฉันจะแก้แค้นแทนพวกนายทุกคนเอง!”
หลินหนานกำหมัดแน่นพร้อมกับพึมพำออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขารื้นไปด้วยน้ำตา เรื่องนี้เสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงจิตใจของเขาให้เจ็บปวด และหากเขายังไม่ได้แก้แค้น ก็ยากนักที่เขาจะนอนหลับอย่างสงบสุขได้
หลินหนานข่มอารมณ์ให้กลับคืนสู่ความสงบ แล้วค่อยๆเก็บภาพถ่ายนั้นลงไปในกล่องอย่างระมัดระวัง ด้านล่างของกล่องใบนั้นมีคัมภีร์โบราณอยู่เล่มหนึ่ง
คัมภีร์โบราณเล่มนี้ไม่ได้เขียนขึ้นด้วยกระดาษในยุคโบราณ แต่มันคือกระดาษชนิดพิเศษที่ดูคล้ายกับหนังสัตว์ เพราะเหตุนี้ แม้จะเป็นคัมภีร์โบราณที่ผ่านเวลามาเนิ่นนาน แม้กระดาษของมันจะกลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว แต่ก็ไม่ถูกแมลงกัดกิน หรือเปียกชื้นเสียหาย
ที่หน้าปกของคัมภีร์โบราณเล่มนี้ เขียนไว้ด้วยอักขระที่ดูแปลกตา ตรงกลางของหน้าปกนั้นเขียนตัวอักษรไว้เพียงสี่คำสั้นๆเท่านั้น
‘เก้าเข็มเปิดนภา!’