อาจารย์ที่ทั้งน่ารักและน่ารำคาญของผม
ตามเซ็ตติ้งแล้ว ทุก ๆ อย่างในโลกของเอสโก้นั้นจะอยู่ภายใต้กรอบของเทคโนโลยี
พอนักรบเวทย์กดทริกเกอร์ อุปกรณ์เวทย์ก็จะปล่อยสัญญาณซิงโครไนซ์ หรือที่เรียกว่าคลื่นพลังเวทย์
ด้วยการใช้งานคลื่นพลังเวทย์นั้น มันก็จะทำงานประสานกับตัวรับเวทมนตร์ (อนุภาคจินตภาพของโลกเอสโก้) การซิงโครไนซ์นี้ มันจะทำการเปิดใช้งานวงเวทย์ (สัญญาณนำเข้าที่แสดงเป็นรูปแบบ) ที่สร้างโดยตัวนำไฟฟ้าที่เชื่อมกับคอนโซลขึ้นมา
ตัวกลางเวทมนตร์จะทำงานตามการควบคุมจากวงเวทย์ เช่น การถ่ายโอน การจับ การสั่น การจำแนก รวมถึงการบีบอัด
ให้พูดโดยสรุปก็คือ เจ้าอุปกรณ์เวทย์นี่น่ะ ก็เหมือนกับอุปกรณ์เทคโนโลยีระดับนาโนประเภทหนึ่งที่เอาไว้ใช้ในการรบกวนอนุภาคยังไงล่ะ
ส่วนพลังเวทย์ก็คือตัวกลางเวทย์ที่อยู่ภายในร่างกาย และอุปกรณ์เวทย์จะเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รบกวนอนุภาคเพื่อใช้ควบคุมตัวกลางเวทย์ภายนอก อะไรประมาณนั้นแหละ…
ถ้ามันจะซับซ้อนขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังเพิ่มดันเจี้ยนมาอีกละเนี่ย?
บางทีในพวกผู้พัฒนาคงจะมีพวกบ้าที่รักการเซ็ตติ้งอยู่แหง ๆ เลย
เรียกได้ว่าทำให้เกมยูรินี่ค่อนข้างอิลุงตุงนังเลยทีเดียว
ในบรรดาทีมผู้พัฒนาก็มีคนที่รักยูริ แต่ก็มีคนที่รักความแฟนตาซีอยู่ด้วย ซึ่งถ้ามีไอบ้าที่ชอบการเซ็ตติ้งอยู่ด้วยล่ะก็ การที่จะมีนักทฤษฎีที่คอยวางแผนอยู่จนทำให้เกมมันมืดมนแบบนี้ก็ต้องมีอยู่ด้วยแน่ ๆ
ที่เลวร้ายที่สุดเลยก็คือมันไม่มีความสม่ำเสมอเลยน่ะสิ พูดง่าย ๆ ก็คือมันเข้าใจยากนั่นแหละ
ที่มันมีบางคนบอกว่า “แบบนี้น่ะ มันไม่ใช่เกมยูริซะหน่อย” เนี่ยผมก็ไม่แปลกใจเลยนะ…เพราะรูทที่ไม่มีความยูริเลยก็มีเหมือนกัน
ถึงจะบอกว่าเป็นเกมยูริ แต่การที่พวกเขาสร้างตัวละครชายที่ไม่เกี่ยวกับเกมอย่างซันโจ ฮิอิโระขึ้นมาเนี่ย ทำให้เห็นเลยว่าผู้พัฒนาก็น่าจะแนวคิดที่แปลก
แต่ว่าเกมนี้มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
นั่นก็คือเกมนี้น่ะ การพยายามอย่างหนักจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่ายังไงล่ะ
“……”
กลับมาแล้วครับ
ตอนนี้เป็นเวลาตี 4
“อืม~…เป็นเช้าที่ดีเลยนะคะ ถึงจะรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่ถ้าได้วอร์มอัพล่ะก็คงจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้แน่ค่ะ”
มันก็ใช่อยู่หรอกนะว่าความพยายามอยู่ที่ไหนคำสำเร็จอยู่ที่นั่นน่ะ
“……”
แต่ก็ไม่มีใครบอกซักคำเลยนะ ว่าอยากเก่งขึ้นโดยที่มี่แอสเทมีร์เป็นอาจารย์
แล้วต้องตื่นตี 4 มาอยู่กับเอล์ฟสาวสวยน่ะ
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ช่วยรอซักครู่ได้มั้ยครับ”
“ค่ะ มีอะไรงั้นเหรอคะ…แต่ เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนหน้านั้น”
แตกต่างจากตอนใส่ชุดต่อสู้เมื่อวานอย่างสิ้นเชิงเลย
เอล์ฟผมเงินในชุดฝึกซ้อมที่ดูน่ารักสะบัดผมไปข้างหลัง และชี้นิ้วมาที่ผม
“ห้ามพูดสุภาพนะ!”
“……ห๊ะ?”
“ก็เคยบอกกับลาพิสไปแล้วเหมือนกัน แต่ฉันไม่ต้องการให้พูดอย่างสุภาพระหว่างศิษย์และอาจารย์ค่ะ เป็นไปได้ก็อยากพูดแบบเป็นกันเองน่ะค่ะ”
พูดอะไรออกมากันเนี่ยยัยคนนี้….
ภายในใจของผมจินตนาการกลับไปถึงตอนที่แอสเทมีร์กำลังบดขยี้ฮิอิโระได้เลย
ถึงตอนนั้นผมจะทั้งปรบมือ ผิวปาก ร้องเพลงออกมาดัง ๆ ก็เถอะ…แต่ในเมื่อตอนนี้ผมเป็นฮิอิโระแล้ว ผมถึงได้รู้ว่าเธอมันน่ากลัวขนาดไหน ทำให้ผมไม่อยากพูดเป็นกันเองกับเธอเลย
“ไม่สิ แต่ว่าคุณแอสเทมีร์เองก็ใช้ภาษาสุภาพเหมือนกันนี่ครับ…?”
“อา~จารรร~~~รรย์~!”
แอสเทมีร์ทำแก้มป่อง จากนั้นก็กอดอกแล้วหันหลังกลับ
“ฉันจะไม่ยอมตอบจนกว่าจะเรียกฉันว่าอาจารย์ค่ะ”
ยะ…ยัยนี่…ทั้งที่อายุ 420 ปี ( ประมาณมนุษย์อายุ 21 ) แล้วแท้ ๆ …นี่คิดว่าตัวเองน่ารักมากรึไง…ก็น่ารักจริงด้วยนี่หว่า…บ้าเอ๊ย…! ไปแสดงท่าทางแบบนั้นให้ผู้หญิงในโชคชะตาของตัวเองดูสิฟะ…! แล้วผมก็ขอแอบดูสถานการณ์ตอนนั้นด้วยนะครับ…!!
ความดุร้ายของปีศาจดาบคนเมื่อวานนี้มันหายไปไหนซะแล้วล่ะ
เธอที่ทำตัวดูทั้งน่ารักและน่ารำคาญมองมาที่ผมแล้วพูด [จะเรียกได้รึยังน้า~? ยังอีกเหรอ~?] ไปด้วย
ปกติแล้ว แอสเทมีร์จะเป็นตัวละครประเภทที่มักจะระวังตัว
เพราะงั้นเธอถึงยังมองว่าฮิอิโระที่เข้าหาลาพิสด้วยท่าทางที่ไม่ให้เกียรติ์ตามอำเภอใจเป็นศัตรู แล้วเธอก็กำจัดผู้ชายทุกคนที่พยายามเข้าใกล้ลาพิสกับหน่วยคุ้มกันของเธอด้วย
ซึ่งกรณีนี้ แม้แต่ตัวผมก็ไม่เว้นเหมือนกัน
ก็แบบว่า โดนจับได้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วใช่มั้ยล่ะ? ลาพิสยังบอกอีกว่าจะมาอยู่กับผมด้วยนะ? แล้วแบบนั้นทำไมถึงยังอยากให้ผมไปเป็นลูกศิษย์อีกกันเล่า?
แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีแล้วก็ได้
เพราะอย่างน้อย ถ้าได้เป็นลูกศิษย์ ก็จะสามารถทำให้ไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีชื่อว่าแอสเทมีร์ซึ่งเป็นเดธแฟล็กของฮิอิโระไร้ผลได้ล่ะนะ
แต่บอกตามตรง ผมล่ะไม่อยากให้ทั้งลาพิสหรือแอสเทมีร์มายุ่งเกี่ยวกับเจ้าคนอย่างฮิอิโระนี่เลย
เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ยูริอะดิครับ!? (น้ำตาไหลเป็นเลือด)
แต่ป่านนี้แล้ว ถ้าผมยังจะฝืนไล่ออกไป ทั้งลาพิสกับแอสเทมีร์ก็คงจะไล่ตามมาแน่…ทายาทตระกูลซันโจอย่างฮิอิโระที่สะดุดตาขนาดนี้ ซ่อนตัวยังไงก็คนหนีไม่พ้น…เดิมทียังไงพวกเธอก็ต้องเจอกับฮิอิโระอยู่แล้ว…เพราะงั้นผมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน
“…อะ อาจารย์”
ผมเรียกเธอด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“เอ๊ะ?”
แอสเทมีร์หันกับมาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย
“ว่าไงนะ? เมื่อกี้เรียกว่ายังไงนะ? เรียกฉันว่ายังไงนะ? เอ๊ะ? อะไรนะ? เรียกว่ายังไงนะ?”
นะ…น่ารำคาญ…
“อะ…อาจารย์”
“ค่า! ค่าค่า! อาจารย์ค่า! อาจารย์เองค่า!”
น่ารำคาญเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!! อ๊ากกกกกกกก!! น่ารำคาญเฟ้ยยยยยยย!!
แอสเทมีร์กระโดดดึ๋ง ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นไปด้วย
ในฐานะอาจารย์แล้ว เธอไม่รู้รึไงว่ากำลังแแสดงด้านที่ไม่ดีให้ลูกศิษย์ดูอยู่น่ะ
เธอรู้สึกตัวได้แล้วก็ตัวแข็งทื่อไป จากนั้นเธอก็กระแอมออกมาพร้อมหน้าแดง
“สะ…สงสัยจะตื่นเต้นเกินไปหน่อยน่ะค่ะ มะ…มีอะไรงั้นเหรอคะ ศิษย์รัก”
อย่าเติมคำว่า “รัก” ลงไปเด้ ยังตื่นเต้นไม่หายอยู่อีกรึไงล่ะนั่น
“ไม่ล่ะ ก็เพราะบอกให้เรียกแบบนั้นก็เลยเรียกไงล่ะ จะช่วยฝึกให้ไม่ใช่เหรอ? หรือควรพูดว่า [ฝากตัวด้วยนะครับ] แทนจะดีกว่าเหรอ?”
“โอ้~…!”
ดูเธอจะค่อนข้างประทับใจที่ยอมพูดแบบไม่ต้องสุภาพตามที่เธอขอเลย
แอสเทมีร์พัยกหน้าอย่างมีความสุข แล้วก็ชักดาบยาวออกมา
“ถ้างั้นก่อนอื่น ก็มาวอร์มอัพกันก่อนเลยแล้วกัน”
“…ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ แล้วแค่จะวอร์มอัพทำไมต้องชักมุเมย์โบฮิออกมาด้วยล่ะ?”
เธอยิ้มออกมาและหันปลายดาบมาทางผม
“ก็ในการเตรียมตัว มันก็ต้องมีของมีคมนี่?”
“อย่างแรกมันควรจะเริ่มต้นจากการวอร์มอัพด้วยการออกกำลังกายตามวิทยุแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่ แล้วค่อยฝึกไม่ใช่เหรอครับอาจารย์….?”
“ถ้างั้น เอาล่ะนะคะ”
“ไม่ดิ เดี๋ยวดิ เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ รอก่–“
อ๊าก~ ^ ^ (ตาย)~