ตอนที่ 8 เจียงจิ่นเวยขี้อิจฉา

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 8 เจียงจิ่นเวยขี้อิจฉา (รีไรท์)

ตอนที่ 8 เจียงจิ่นเวยขี้อิจฉา (รีไรท์)

สือจื่อจิ้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าเช่าให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

[+15000 เหลียนปัง]

แต่ว่าอีกประมาณสองวันถึงจะได้กลับมาอยู่

ซูเถารู้สึกเกรงใจมากที่ต้องรับค่าเช่าล่วงหน้าก่อนที่พวกเขาจะย้ายเข้ามาอยู่ แต่ผู้อุปถัมภ์ด้านอาหารและเสื้อผ้าดูเหมือนจะไม่สนใจ เขาซื้ออาหารเช้าที่เหลือในเครื่องจำหน่ายอาหารเช้าออกไป

[+210 เหลียนปัง]

หลังจากนั้นผู้ที่ควรไปปฏิบัติภารกิจก็ไปปฏิบัติภารกิจ ผู้ที่ควรไปโรงเรียนก็ไปโรงเรียน ซูเถาก็จะเข้าไปในฐานหลักเพื่อซื้อเสื้อผ้าสำหรับตัวเธอเองสองสามชุด

ตอนออกมาจากบ้านเธอแทบไม่ได้นำอะไรติดตัวออกมาเลย

แต่มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องนำมา หลี่เหลียนหรงไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เธอเลยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แม่ของเธอมักจะหยิบเสื้อผ้าเก่าเก็บของคนอื่นมาให้เธอสวมใส่แทน

ซูเถาขบฟันแน่น และตัดสินใจว่าตราบใดที่มีเงินสำรองเธอจะไม่ปฏิบัติต่อตนเองอย่างไม่ยุติธรรม

ตู้เสื้อผ้าในห้องของเธอยังว่างเปล่า

เธอไปซื้อของที่ศูนย์การค้าทางเขตตะวันออกเพื่อซื้อชุดชั้นใน กางเกงชั้นในและถุงเท้า

ใช้เงินทั้งหมด 50 เหลียนปัง

ในยุคสุดท้ายเสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ได้มีราคาสูงมากนัก แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังคงดิ้นรนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายและความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก

ใช้เงินอีก 80 เหลียนปัง เพื่อซื้อชุดเดรสแขนยาวสำหรับฤดูใบไม้ผลิให้ตัวเอง

เรียกได้ว่าเป็นชุดใหม่ชุดแรกในชีวิตที่เธอซื้อให้กับตัวเอง

รูปร่างหน้าตาของซูเถานั้นไม่เลว ยกเว้นเสียว่าเธอตัวเล็กไปหน่อยและสูงเพียง 160 เซนติเมตร แต่ก็ถือว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง

ทันทีที่เธอสวมกระโปรงตัวใหญ่ พนักงานแนะนำสินค้าก็มาช่วยเธอแต่งทรงผม ซูเถายืนอยู่หน้ากระจกโดยจำตัวเองไม่ได้มาระยะหนึ่งแล้ว

นี่เธอสวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?

พนักงานแนะนำสินค้าชื่นชมว่า “คุณผู้หญิงเป็นคนสวย จะใส่กระโปรงแบบไหนสีไหนก็สวยค่ะ”

ซูเถาเกาแก้มอย่างรู้สึกเขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็ไปจ่ายเงินและเดินออกจากศูนย์การค้าในชุดใหม่เอี่ยม

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเหลือเงินไม่มากแล้ว เธออาจจะหุนหันพลันแล่นและซื้อเพิ่มอีก แต่ตอนนี้เธอต้องตัดสินใจใช้จ่ายเงินอย่างมีแบบแผนและมีสติ

ซูเถาถือถุงช็อปปิงไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อน้ำหนึ่งแพ็กซึ่งมีค่าใช้จ่าย 50 เหลียนปัง เธอต้องมาซื้อน้ำที่ตงหยาง เพราะน้ำที่ฐานหลักราคาไม่ถูกเลย และสุดท้ายก็แวะไปตลาดมือสองเพื่อซื้อไม้กวาดและไม้ถูพื้น รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ

ใช้เงินทั้งหมด 30 เหลียนปัง

เมื่อจำนวนห้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พื้นที่ส่วนกลางก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เพื่อให้ผู้เช่าได้รับประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดี เธอก็ต้องใส่ใจทางด้านสาธารณสุข

ขณะที่กำลังจะออกไปหลังจากจ่ายเงินเสร็จ ซูเถาก็เห็นหญิงสาวที่ดูคุ้นเคยเดินเข้ามา

หญิงสาวคนนั้นคิดว่าตนเองคุ้นเคยกับซูเถาไม่น้อย หลังจากเดินเฉียดไหล่เธอไปก็ชะงักฝีเท้าแล้วถอยหลังกลับมาสองสามก้าว หยุดหลงตรงหน้าซูเถา

“เธอคือซูเถา น้องสาวหน้าโง่ผู้อ่อนแอของเจียงจิ่นเวย?”

เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนซูเถาดูอ่อนแอขาดสารอาหาร แต่งตัวซอมซ่อและมีใบหน้าดูขมขื่นตลอดเวลา แต่ที่ไหนได้ตอนนี้เธอกลับแต่งตัวดูดี หน้าตาสะสวยและความมั่นในใจตัวพวยพุ่งไปทั้งตัว

น่าแปลกจริง ๆ

ใบหน้าของซูเถาหมองลง จำได้ว่านี่คือเพื่อนของเจียงจิ่นเวยที่เคยไปกินข้าวเย็นที่บ้าน

สภาพความเป็นอยู่ของเธอนั้นดีกว่าครอบครัวซูมาก พวกเขามักจะดูถูกครอบครัวซู แม้แต่ซูเถาเองก็ยังถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันว่าคู่ควรแล้วที่จะต้องนอนกับโถส้วม

“คุณคือใครเหรอคะ? ถ้าไม่มีอะไรแล้วกรุณาหลีกทางด้วยค่ะ ไม่ใช่มัวแต่พูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้” ซูเถาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

เฉินเฉียวอิ่งถูกตอกหน้าก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “เธอก็คู่ควรกับคำพูดของฉันแล้วนี่ ฉันจะฉีกปากเหม็นเน่าของเธอออกเป็นชิ้น ๆ!”

ขณะที่พูดเธอก็พุ่งไปข้างหน้า

ซูเถาถ่มน้ำลายใส่หน้าเฉินเฉียวอิ่งจากนั้นออกตัววิ่งหนี และเทเลพอร์ตกลับไปที่เถาหยางระหว่างวิ่งเลี้ยวตรงหัวโค้งหนึ่ง

หลังจากกลับถึงบ้านซูเถาก็ไม่ได้ถูกเหตุการณ์อันน่าหัวเสียก่อนหน้านี้ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว ในทางตรงกันข้ามเฉินเฉียวอิ่งโกรธมาก เธอจึงตรงปรี่ไปที่บ้านซูเพื่อพบกับเจียงจิ่นเวย

“จิ่นเวย น้องสาวผู้ต่ำต้อยของเธอตอนนี้สง่างามมาก สวมชุดใหม่ ถือถุงช็อปปิงมากมาย อีกทั้งเธอยังกล้าชี้นิ้วสั่งฉันอีกด้วย”

เจียงจิ่นเวยซึ่งเดิมอารมณ์ไม่ดีอยู่เป็นทุนก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งนี้

“เธอบอกว่าเธอเห็นซูเถา แล้วก็ยังเห็นเธอซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยงั้นเหรอ”

“ใช่ พวกเธอไม่รู้เหรอ ไม่ธรรมดาเชียวล่ะซื้อน้ำดื่มแพ็กใหญ่ที่ร้านสะดวกซื้อ ครอบครัวเธออู้ฟู่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

ใบหน้าของเจียงจิ่นเวยเปลี่ยนเป็นสีแดง โกรธมากจนแทบทุบถ้วยในมือแตก

“เธอไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ข้างนอก แต่กลับปล่อยให้ฉันต้องไปเข้าร่วมกองทัพบุกเบิกแทนเนี่ยนะ!”

เฉินเฉียวอิ่งผงะ จากนั้นหันกลับมาและเห็นว่าใบหน้าของหลี่เหลียนหรงก็ดูไม่ดีเช่นกัน เธอจึงหาข้ออ้างที่จะบอกลาและหลบหนีไป

ทุกคนในตระกูลซูแทบคลั่ง

เมื่อเห็นหลี่หรงเหลียน เจียงจิ่นเวยก็น้ำตาไหล

“แม่! นี่มันอะไรกัน ไหนแม่บอกว่าให้ซูเถาไปไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันไปแล้วถังโต้วล่ะ? ถ้าฉันตายอย่างอนาถข้างนอกล่ะ แม่คงหาที่ฝังศพให้ไม่ได้ด้วยซ้ำและถังโต้วก็จะกลายเป็นเด็กไม่มีแม่ แม่! แม่ไปรับซูเถากลับมาเลยนะ ฉันไปไม่ได้จริง ๆ”

หลี่หรงเหลียนปาดน้ำตา หัวใจเธอแทบแตกสลาย

“แม่จะไปหาเธอ แม่จะไปหาเธอ ไม่ต้องร้องนะ ทั้งหมดเป็นความผิดของน้อง ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ลูกก็คงไม่ต้องออกไปเสี่ยงชีวิต…”

สองแม่ลูกกอดกันร้องห่มร้องไห้