ตอนที่ 11 แม่สามีอยู่ที่นี่

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 11 แม่สามีอยู่ที่นี่

ตอนที่ 11 แม่สามีอยู่ที่นี่

“เป็นยังไงบ้าง? มันดูดีกว่าทรงกะลาครอบหัวที่คุณคิดจะตัดอีกใช่ไหมคะ?”

เฉินเจียเหอยกนิ้วให้เธอ “ดูดีมาก”

“หู่จือ มาสิ ฉันจะช่วยตัดให้เธอเหมือนกัน นี่ใกล้วันปีใหม่แล้ว มาตัดผมหล่อ ๆ เปลี่ยนลุคต้อนรับปีใหม่กันเถอะ”

หู่จือมองลุงเอ้อร์เลิ่งที่ดูหล่อเหลาขึ้นก็เริ่มสนใจ

แต่หลินเซี่ยยังอยู่ในช่วงทดลองงาน ดังนั้นเขาจึงไม่ทำตามคำแนะนำของเธอโดยง่าย

เขายืนนิ่งทำท่าเย่อหยิ่ง ใบหน้าดูยุ่งเหยิงยิ่ง

หลินเซี่ยส่ายปัตตาเลี่ยนในมือ “จะตัดหรือไม่ตัด?”

แม่เฒ่าโจวรีบดึงหูหู่จือให้นั่งลงและผูกม่านรอบคอเขา “หู่จือ นั่งลงเร็วเข้า ให้น้าเซี่ยเซี่ยตัดผมรับปีใหม่เร็ว”

หู่จือนั่งลงโดยไม่เต็มใจ เขาเบะปากเอ่ย “ถ้างั้นก็ทำให้มันออกมาดูดีด้วย”

“อย่าห่วงเรื่องนั้นเลย”

ผมของหู่จือสั้นอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องสระผมก่อนตัด เพียงไถให้สั้นลงเท่านั้น

เมื่อหลินเซี่ยตัดผมหู่จือ เฉินเจียเหอก็เดินเข้ามาพร้อมไม้กวาดและที่โกยขยะเหล็กเพื่อที่จะกวาดผมของเอ้อร์เลิ่งไปทิ้ง

เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยมีฝีมือมากเพียงใด แม่เฒ่าโจวก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้

ในที่สุดครอบครัวของหลานชายคนโตก็สมบูรณ์แล้ว

หลินเซี่ยเคยอาศัยอยู่ในเมือง แม่เฒ่าโจวจึงกลัวว่าเธอจะไม่คุ้นชินอาหารเรียบง่ายของชนบท หญิงชราจึงไปแช่วุ้นเส้น เพื่อที่จะผัดวุ้นเส้นกับผักกาดขาวให้เธอ

เอ้อร์เลิ่งส่องกระจก เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของตัวเอง เขาก็มีความสุขอย่างยิ่ง

เขาวางกระจกลงและวิ่งออกไปข้างนอก “ต้าเหอ ฉันไปแล้วนะ ฉันจะไปให้ทุกคนดูผมทรงใหม่ของฉัน”

เอ้อร์เลิ่งวิ่งจากไปทันที ส่วนแม่เฒ่าโจวลุกออกจากเตียงเตาพร้อมกระจาดไม้ไผ่ เพื่อขนฟืนบนกองหญ้าด้านนอก

ในขณะที่นางเพิ่งหยิบฟืนใส่เต็มกระจาด ก็ได้ยินเสียงใครบางคนจากทางเข้าประตูบ้าน

แม่เฒ่าโจวอายุเจ็ดสิบปี ดวงตาทั้งสองข้างจึงพร่ามัว ทำให้นางพยายามเพ่งดูว่าเป็นใครที่กำลังมา

ลูกชายและลูกสะใภ้ของนางทำงานเป็นคนงานอยู่ในเมือง ส่วนหลานชายทำงานที่ไห่เฉิง พวกเขาจะไม่ได้กลับมาบ้านจนกว่าจะถึงวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสองตามจันทรคติ

“แม่”

เมื่อได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนเรียกหา คุณยายโจวเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างคนทั้งสามเดินเข้ามา นางก็ตกใจอย่างมาก “ลี่หรง? ทำไมถึงกลับมาบ้านล่ะ?”

แม่เฒ่าโจวมองชายหญิงที่สวมใส่พันผ้าพันคอยืนอยู่ด้านหลังโจวลี่หรงและเผยให้เห็นเพียงดวงตาสองคู่ “นั่นใช่เจียซิ่งกับเจียวั่งหรือเปล่า?”

ชายคนนั้นดึงผ้าพันคอลงมา “คุณย่า ผมเจียซิ่งเอง ส่วนนี่ก็เสี่ยวเหมยภรรยาของผม”

แม่เฒ่าโจวมองดูลูกสาวและหลานชายที่กลับมาจากเมืองอย่างกะทันหัน นางเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “เจียซิ่ง เสี่ยวเหมย พวกเธอกลับมาด้วยเหรอ? นั่นเยี่ยมไปเลย”

นางถามโจวลี่หรงว่า “ไม่ใช่ว่าลูกบอกแม่ว่าจะไม่กลับบ้านในช่วงปีใหม่ปีนี้เหรอ? ทำไมถึงพากันกลับมาอย่างกะทันหันล่ะ?”

“แม่ มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราจะไม่กลับมาได้ยังไงคะ?” โจวลี่หรงตอบกลับสีหน้าบึ้งตึง มองแม่เฒ่าที่หลังคุ้มงอและพูดด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธ “เจียเหออยู่ไหน?”

แม่เฒ่าโจวขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป? กลับมาบ้านทั้งทีถึงกระฟัดกระเฟียดขนาดนั้น”

“คุณยาย คุณน้าโทรมาบอกเราว่าพี่ชายแต่งงานใหม่กับสาวในหมู่บ้านเหรอครับ?” เฉินเจียซิ่งเอ่ยถามแม่เฒ่าโจวรัวเร็วเกรี้ยวกราดภายในอึดใจเดียว

“ใช่แล้ว ใช่ ในที่สุดพี่ชายคนโตของหลานก็คิดได้และยอมแต่งงานกับภรรยาใหม่ แต่เพราะเวลาที่จำกัด เราเลยจัดแค่งานรื่นเริงเล็ก ๆ ในครอบครัวเจ้าสาว ยายคิดว่าหลังจากที่พวกเขาเข้ากันได้ดีแล้ว เราค่อยจัดงานแต่งงานให้พวกเขาก็ได้”

“งานแต่งอะไรอีกคะ? แล้วคนอื่นล่ะ?” โจวลี่หรงมีท่าทางขุ่นเคืองขณะรีบสาวเท้าไปทางประตูบ้าน

สิ้นเสียงของโจวลี่หรง หล่อนก็รีบวิ่งเข้าไปในลานบ้านด้วยความโกรธ แม่เฒ่าโจวจึงไม่มีเวลาได้ขนฟืนเข้าไป ขณะรีบสาวเท้าติดตามลูกสาวไปทันที “ลี่หรง ลูกเป็นอะไรไป? ลูกชายคนโตเธอคิดได้แล้ว เขามีภรรยาทั้งทีลูกไม่ดีใจหรือไง?”

เฉินเจียซิ่งเตะกระจาดที่ขวางทางเขาออกไป ก่อนนำเสิ่นเสี่ยวเหมยภรรยาของเขาเดินตามทั้งสองไปทันที พลางโพล่งด้วยความโกรธ “คุณยาย มีเรื่องอะไรให้ดีใจครับ? คุณยายรู้ไหมว่าพี่ชายกำลังแต่งงานกับใคร?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยดึงผ้าพันคออย่างเย็นชา พูดเสริมเฉินเจียซิ่งว่า “ใช่แล้วค่ะ คุณยายรู้นิสัยใจคอหญิงคนนั้นสักแค่ไหน? หล่อนจะแต่งงานกับพี่ชายคนโตได้อย่างไร? หล่อนไม่ควรก้าวเท้าเข้าประตูตระกูลเฉินด้วยซ้ำ!”

“เสี่ยวเหมย เธอหมายถึงอะไร? เซี่ยเซี่ยไม่คู่ควรกับเจียเหอหรือยังไง?” แม่เฒ่าโจวมองโจวลี่หรงที่กำลังเดือดดาล จากนั้นมองไปที่เฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยความฉงน

นางไม่เข้าใจอาการแปลกประหลาดของพวกเขาเลย

หลานชายคนโตของนางมีอายุเกือบสามสิบปีแล้ว เด็ก ๆ ในหมู่บ้านทุกคนที่มีอายุใกล้เคียงกันล้วนมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แม้หลานชายคนโตของนางจะมีลูกชายชื่อหู่จือ แต่พวกเขาก็รู้ภูมิหลังของชายหนุ่มดีกว่าใคร ๆ

โจวลี่หรงพูด “แม่ เราไปคุยกันข้างในเถอะ”

ทันทีที่เปิดม่านประตู พวกเขาเห็นว่าหลินเซี่ยกำลังเป่าผมของหู่จือด้วยเครื่องเป่าผม

แม้ว่าผมของหู่จือจะสั้นมากจนไม่จำเป็นต้องเป่าผมเลย แต่เมื่อเห็นดวงตาเล็ก ๆ ของหู่จือจ้องมองไปที่เครื่องเป่าผม หลินเซี่ยก็บอกได้ทันทีว่าเด็กคนนี้อาจต้องการสัมผัสความรู้สึกของเครื่องเป่าผม

ท้ายที่สุดด้วยผมสั้นเกรียนของเขาแล้ว แม้จะเข้าร้านตัดผม แต่ก็คงไม่มีใครเป่าผมให้เขาเป็นแน่

เนื่องจากเสียงไดร์เป่าผมดังไปสักหน่อย ทำให้ไม่มีใครในห้องได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ประตู

เฉินเจียเหอก้มหน้าตั้งใจปัดกวาดเส้นผมที่หล่นบนพื้น ขณะที่ผู้เฒ่าโจวนั่งบนเตียงเตาและสูบควันจากมอระกู่

เมื่อเห็นฉากที่อบอุ่นภายในบ้านและลูกชายที่ก้มลงไปกวาดพื้น ใบหน้าของโจวลี่หรงยิ่งซีดเซียว

ตามชนบทมีสุภาษิตที่ว่า อย่ากวาดพื้นเมื่อแขกมาถึง (1)

โจวลี่หรงที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว ก็รู้สึกราวกับว่าลูกชายกำลังไล่หล่อนออกไป

แม่เฒ่าโจวรีบพูดขึ้น “เจียเหอ แม่ของหลานกับเจียซิ่งมากันแล้วนะ”

เฉินเจียเหอมองไปทางประตูพร้อมกับไม้กวาดที่ถืออยู่ในมือ

เขาเห็นทุกคนกำลังถือกระเป๋าเดินทางอยู่ ขณะเลื่อนสายตามองผู้เป็นแม่ที่มีผ้าพันคอผืนใหญ่พันรอบคอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนเฉินเจียซิ่งและภรรยาที่ตามมาเขาเห็นเพียงลูกตาที่โผล่พ้นผ้าพันคอ

เฉินเจียเหอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขมวดคิ้วและกล่าวคำทักทาย “แม่”

โจวลี่หรงเดินเข้ามาหาด้วยความโกรธ

หลินเซี่ยละสายตาจากศีรษะของหู่จือ เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา เธอก็ตกใจไม่แพ้กัน

กระทั่งลืมปิดสวิตช์เครื่องเป่าผม

ก่อนที่จะมีใครได้พูดสิ่งใด เมื่อสายตาเห็นหลินเซี่ยในบ้าน เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ก่อนวิ่งเข้าไปหาด้วยไฟโทสะที่ลุกโชน

“เสิ่นอวี้อิ๋ง ไม่สิ ตอนนี้ฉันต้องเรียกเธอว่าหลินเซี่ย ทำไมเธอถึงหน้าหนาได้ขนาดนี้? กล้าดียังไงถึงมาแต่งงานกับพี่ใหญ่? เธอต้องการอะไรกันแน่? อยากเป็นพี่สะใภ้ฉันงั้นเหรอ? ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนัก”

หลินเซี่ยวางเครื่องเป่าผมในมือลง เลิกคิ้วมองหญิงที่ดัดผมอย่างทันสมัยตรงหน้าและถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุณเป็นใครคะ?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยหัวเราะเยาะ “ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? เราไม่ได้เจอกันนาน เธอก็เลยแกล้งทำเป็นจำฉันไม่ได้งั้นเหรอ? พูดมาให้ชัดเจน เธอต้องการอะไรกันแน่?”

หลินเซี่ยเชิดหน้าและตอบกลับอย่างยั่วยุ “ทำไมฉันต้องรายงานคุณเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันอยากทำล่ะคะ? คุณเป็นใครมาจากไหน?”

หลินเซี่ยจ้องมองเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยรอยยิ้มมุมปาก นี่หล่อนคิดจะข่มเหงและควบคุมเธอเหมือนที่เคยทำในชีวิตก่อนงั้นเหรอ?

แม้เสิ่นเสี่ยวเหมยจะอายุมากกว่าเธอสามปี แต่อีกฝ่ายก็เคยเป็น “ญาติผู้ใหญ่” ของเธอ เนื่องจากเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นลูกพี่ลูกน้องของเสิ่นเถี่ยจวิน หลังจากอารองของเสิ่นเถี่ยจวินเสียชีวิตด้วยอาการป่วย แม่ของเสิ่นเสี่ยวเหมยก็แต่งงานใหม่ ครั้นหล่อนอายุได้แปดขวบ พ่อแม่ของเสิ่นเถี่ยจวินได้พาหล่อนกลับบ้านและเลี้ยงดูหล่อนมาโดยตลอด

ตอนที่เสิ่นเสี่ยวเหมยเข้ามาอยู่ในบ้านคุณปู่ หล่อนอายุได้ห้าขวบ

เสิ่นเถี่ยจวินพาเธอไปทำความรู้จักกับเสิ่นเสี่ยวเหมย และขอให้เธอเรียกอีกฝ่ายว่าอาหญิงเสิ่นเสี่ยวเหมย

……………………………………………………………………………………………………………….

家里来人时,不能扫地 อย่ากวาดพื้นเมื่อแขกมาถึง เป็นสำนวนเพื่อสื่อถึงแนวคิดที่ว่าเมื่อแขกมาเยี่ยมบ้าน คุณควรให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขก แทนที่จะกังวลเรื่องความสะอาดของบริเวณโดยรอบ

สารจากผู้แปล

คนแซ่เสิ่นมาหาถึงที่เลย ได้เวลาคิดบัญชีแล้วสินะ

ไหหม่า(海馬)