ตอนที่ 12 ถ้าไม่อยากเป็นน้องสะใภ้ของฉัน ก็หย่าไปสิ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 12 ถ้าไม่อยากเป็นน้องสะใภ้ของฉัน ก็หย่าไปสิ

ตอนที่ 12 ถ้าไม่อยากเป็นน้องสะใภ้ของฉัน ก็หย่าไปสิ

เสิ่นเถี่ยจวินบอกว่า ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เธอต้องยอมให้กับอาหญิง และห้ามขโมยสิ่งใดจากอาหญิงโดยเด็ดขาด

เธอจดจำถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมด

เพียงแต่อาหญิงคนนี้ไม่เคยเป็นมิตรกับเธอเลย อาจเป็นเพราะว่าหลังจากสูญเสียพ่อแม่ไป เธอถูกทำร้ายจิตใจอย่างหนัก ในตอนนั้นเธอจำได้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยใจคอที่แปลกประหลาดยิ่ง อาหญิงมักดูแคลนและคอยกดขี่ข่มเหงเธออยู่เสมอ ยามเมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้น หล่อนก็มักจะตำหนิเด็กหญิงห้าขวบว่าเป็นคนผิด

ในเวลานั้น เสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานต่างก็มัวให้ความสนใจอยู่กับน้องชายที่เพิ่งเกิด พวกเขาจึงพาเธอไปอยู่ที่บ้านของปู่

เดือนปีที่เธออาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันกับเสิ่นเสี่ยวเหมย มันเปรียบดั่งฝันร้ายที่กัดกินจิตใจ

เนื่องจากเสิ่นเสี่ยวเหมยมีนิสัยชอบโยนความผิดให้คนอื่นบ่อยครั้ง ทำให้เธอในฐานะที่เด็กกว่าไม่สามารถโต้เถียง กระทั่งกลายเป็นตัวปัญหาในสายตาของผู้เฒ่าตระกูลเสิ่น

หลายครั้งที่เธอต้องการโต้แย้ง แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจฟังสิ่งที่เธอพูดเลย พวกเขาเอาแต่ใส่ใจกับเสิ่นเสี่ยวเหมยที่สูญเสียพ่อแม่ไป

ในความเป็นจริง เธอเคยโต้แย้งว่าทนไม่ได้กับการกดขี่ของเสิ่นเสี่ยวเหมยและยังโยนความผิดให้เธอแล้ว ดังนั้นเมื่อเสิ่นเถี่ยจวินมาที่บ้านของคุณปู่ เธอก็ฟ้องเขาเกี่ยวกับเสิ่นเสี่ยวเหมยที่ทำร้ายเธอ แต่ผลกลับตาลปัตร เสิ่นเถี่ยจวินลงโทษเธอในครั้งนั้น โดยไม่ให้เธอกินข้าวเป็นเวลาหนึ่งวัน

และย้ำเตือนเธอว่า หากโกหกหรือพูดจาใส่ร้ายอาหญิงอีกในอนาคต เธอจะถูกโยนออกจากตระกูล

เธอกลัวมากจนต้องหุบปากเงียบ

และยอมเป็นแพะรับบาปมาสามปีเต็ม

ในที่สุดเธอก็ได้กลับบ้านหลังจากที่เสิ่นอวี้หลงเข้าโรงเรียนอนุบาล เสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานจึงกลับไปทำงานตามปกติ

ต่อมา เธอต่อต้านที่จะกลับไปบ้านของคุณปู่ โดยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอเสิ่นเสี่ยวเหมย

เสิ่นเถี่ยจวินและคนอื่น ๆ ไม่อยากสนใจเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของเด็กสองคนนี้ เธอจึงไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเซี่ยหลานเป็นส่วนใหญ่

เธอจำได้ว่า ก่อนที่ภูมิหลังในชีวิตก่อนจะถูกเปิดเผย ดูเหมือนว่าว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเพิ่งแต่งงานได้ราวครึ่งปีเท่านั้น เธอยังติดตามเสิ่นเถี่ยจวินและภรรยาไปร่วมงานแต่งของเสิ่นเสี่ยวเหมยอยู่เลย

ในงานแต่งงานของเสิ่นเสี่ยวเหมย เธอได้พบกับเฉินเจียเหอ เขากำลังยุ่งอยู่กับการดูแลแขก แต่ก็ยังยื่นขวดเครื่องดื่มให้เธอด้วย

ในเวลานั้น เธอไม่เคยคิดเลยว่า อีกครึ่งปีต่อมาเธอจะได้แต่งงานกับเฉินเจียเหอ

ทำให้ตอนนี้เธอกลายเป็นพี่สะใภ้ของเสิ่นเสี่ยวเหมย

เสิ่นเสี่ยวเหมยหญิงสาวผู้หยิ่งผยองและชอบควบคุมคนอื่นย่อมไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ หล่อนถึงได้รีบวิ่งแจ้นกลับมาชนบทเพื่อชำระบัญชีกับเธอ

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าเด็กสาวที่เคยเป็นแค่คนโง่คอยสวมรองเท้าให้หล่อน จะกล้ามาพูดกับหล่อนแบบนี้

สีหน้าของหล่อนบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล

หล่อนประจันหน้ากับหลินเซี่ย “เธอมันก็แค่ผู้หญิงโง่เขลา คิดว่าตัวเองคู่ควรที่จะแต่งงานกับพี่ใหญ่งั้นเหรอ เธอวางแผนที่จะแต่งงานกับเขาเพื่อที่จะได้กลับเข้าเมืองใช่ไหมล่ะ?”

“ฉันจะเตือนเธอเสียหน่อย เธอน่ะควรจะเป็นคนบ้านนอกคอกนาต่อไป เธอครอบครองรังนกกางเขนมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ได้หวนคืนสู่ชนบท แล้วยังคิดจะเสนอหน้ากลับไปอีกงั้นหรือ? เธอควรยอมแพ้ไปซะ อย่าพยายามกลับไปที่ไห่เฉิงอีก เธอมันคู่ควรที่จะแต่งงานกับหนุ่มชนบทเท่านั้นแหละ”

ถ้อยคำของเสิ่นเสี่ยวเหมยช่างฟังดูขัดแย้งกับเสื้อผ้างดงามบนตัวหล่อนโดยสิ้นเชิง แม้แต่โจวลี่หรงที่อยู่ด้านข้างยังต้องตกตะลึง

ไม่คาดคิดเลยว่าเด็ก ๆ ที่ผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูจะเป็นคนหยาบคายและใจร้ายขนาดนี้

หล่อนเข้าใจว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่สามารถยอมรับได้ว่า “หลานสาว” ของตนได้กลายเป็นพี่สะใภ้ แต่ท้ายที่สุดทั้งสองก็เคยเติบโตด้วยกันมา จึงไม่คิดว่าจะเกลียดชังกันถึงขนาดนี้

ยิ่งเสิ่นเสี่ยวเหมยพ่นคำพูดเดือดดาลเท่าใด อารมณ์โกรธก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นฉาดหนึ่ง ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลินเซี่ยกระทบกับใบหน้าบูดบึ้งของเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างแรง ขณะเดียวกันอีกมือหนึ่งก็กระชากผมดัดของอีกฝ่าย

เสิ่นเสี่ยวเหมยกรีดร้องออกมาเสียงดัง

ทุกคนในห้องพลันตะลึงงันทันใด

หู่จือรีบปีนขึ้นไปบนเตียงเตาด้วยความตกใจและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าโจว

เขาอุทานกับตัวเองว่าไม่ควรล้อเล่นกับแม่เลี้ยงใจร้าย

ใบหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยแสบร้อนด้วยความเจ็บปวด ขณะที่หนังศีรษะเกิดอาการชา

ครั้นเมื่อเห็นเส้นผมหลุดติดมือหลินเซี่ยเป็นกระจุก ร่างกายหล่อนพลันแข็งค้างทันใด

นั่นคือผมของหล่อนที่เพิ่งดัดมาอย่างประณีตก่อนหน้า

หล่อนเป็นคนผมบางอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกหลินเซี่ยกระชากอีก ผมที่บางอยู่แล้วก็ยิ่งดูย่ำแย่กว่าเดิม

หล่อนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น สายตาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างว่างเปล่า “แกกล้าทำร้ายฉันเหรอ? แกกล้าดียังไงถึงกระชากผมฉันออก?”

“เธอปากเปราะก่อนเอง”

เธอรู้ว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยมีผมค่อนข้างบางตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นเธอจึงจงใจกระชากผมอีกฝ่าย

เสิ่นเสี่ยวเหมยพุ่งตัวเข้าหาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลินเซี่ยฉวยไม้กวาดในมือเฉินเจียเหอและยกขึ้นฟาดไปที่ขาอีกฝ่ายทันที

ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่มีโอกาสเข้าใกล้แม้แต่น้อย

“ฉันแต่งงานกับเฉินเจียเหอแล้วจะทำไม? ฉันไม่ได้แต่งงานกับสามีของคุณเสียหน่อย แล้วมันไปกวนใจคุณได้ยังไง? ครอบครัวตระกูลเสิ่นไล่ฉันออกแล้ว ทำไมฉันต้องเรียกคุณว่าอาหญิงด้วย? ถ้าไม่อยากเป็นน้องสะใภ้ของฉัน ก็หย่ากับเฉินเจียซิ่งไปสิ”

“ไห่เฉิงเป็นของคุณคนเดียวหรือไง? ทำไมฉันจะกลับไปไม่ได้?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกแรงกดดันของหลินเซี่นกดทับโดยสมบูรณ์

ก่อนมายังหมู่บ้าน หล่อนให้สัญญากับครอบครัวลูกพี่ลูกน้องของเธอว่า หลินเซี่ยจะต้องหย่ากับเฉินเจียเหอ

เด็กโง่คนนี้เคยถูกหล่อนควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่คิดเลยว่าหลังจากกลับมาอยู่ชนบทจะกลายเป็นคนป่าเถื่อนขนาดนี้

อีกทั้งฝีปากยังจัดจ้านกว่าเดิมด้วย

อีกฝ่ายยังมีไม้กวาดในมือเป็นอาวุธ เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงไม่อาจเอาชนะได้เลย

หล่อนร้องไห้และโผเข้ากอดในอ้อมแขนของเฉินเจียซิ่ง “เจียซิ่ง หล่อนทุบตีฉันแล้วยังบอกให้เราหย่ากันอีก ฉันจะไปฉีกปากของนังนั่น”

ทันทีที่เห็นภรรยารักร้องไห้ เฉินเจียซิ่งก็หมดความอดทนและตะคอกใส่หน้าหลินเซี่ย “เธอมันผู้หญิงป่าเถื่อน กล้าดียังไงถึงมาตีเสี่ยวเหมยของฉันแบบนี้? หล่อนเป็นอาหญิงของเธอมานานกว่าสิบปีแล้วนะ”

หลินเซี่ยแค่นเสียงเบา ๆ และไม่สนใจอีก

เฉินเจียซิ่งหันมองเฉินเจียเหอและบ่นว่า “พี่ใหญ่ พี่ก็เห็นชัดเจนแล้วใช่ไหม? ยังคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้อีกเหรอ? หล่อนทั้งเย่อหยิ่งและป่าเถื่อน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

เฉินเจียเหอเข้ามายืนขวางปกป้องด้านหน้าหลินเซี่ย ใบหน้าหล่อเหลามืดหม่นลงพร้อมกล่าวคำเสียงเคร่งขรึม “แล้วนายล่ะแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหน? จู่ ๆ ก็บุกมาทำตัวป่าเถื่อนในบ้าน ไม่ต่างจากเสือร่วงสู่พื้นที่ราบโดนหมารังแก(1)เลยไม่ใช่หรือไง?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม “เจียซิ่ง พี่ชายคุณหาว่าฉันเป็นหมา”

เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนร้องไห้จนแป้งบนใบหน้าหลุดเป็นคราบ หัวใจของเฉินเจียซิ่งก็แทบแตกสลายเป็นเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เป็นพี่ชายผู้น่าเกรงขามที่เขาเอาชนะไม่ได้เช่นกัน

เฉินเจียซิ่งเหลือบมองใบหน้าเล็กที่บอบบางและดุร้ายของหลินเซี่ยด้วยความเคืองโกรธ เขาพ่นคำสาปแช่ง “พี่ใหญ่ พี่ถูกนังจิ้งจอกนี่ปั่นหัวไปแล้ว”

“ไม่ต่างจากนายหรอก”

โจวลี่หรงแม่สามียังไม่ทันได้เคลื่อนไหว ลูกชายทั้งสองก็ทะเลาะกันเองเพื่อปกป้องผู้หญิงของตัวเองแล้ว

โจวลี่หรงไม่เพียงไม่พอใจภรรยาของเฉินเจียเหอเท่านั้น แต่ยังไม่พอใจเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยเช่นกัน

นี่เป็นวิธีที่ตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูลูก ๆ ของพวกเขางั้นเหรอ?

พวกเธอล้วนมีฝีปากร้ายและจิตใจเหี้ยมโหด ทั้งยังแต่งงานเข้ามาทั้งคู่ แบบนี้ตระกูลเฉินในอนาคตจะมีแต่ความเดือดร้อนหรือเปล่า?

โจวลี่หรงจ้องเขม็งไปทางเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และกล่าวคำเสียงหนักแน่น “เฉินเจียเหอ ออกไปกับแม่หน่อย”

ด้วยสถานะที่เหนือกว่า เมื่อโจวลี่หรงสั่งเฉินเจียเหอเช่นนั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามหล่อนออกไป

ก่อนออกไปเขาเหลือบมองหลินเซี่ย เมื่อเห็นว่าเธอยังคงถือไม้กวาดอยู่ เขาจึงวางใจว่าเธอจะไม่ถูกรังแก

ทันทีที่พวกเขาออกไป เสิ่นเสี่ยวเหมยต้องการเอาคืนหลินเซี่ย แต่ถูกแม่เฒ่าโจวห้ามไว้ก่อน

หล่อนจ้องมองหลินเซี่ยด้วยสายตาอาฆาต พลางกล่าวเยาะเย้ย “ฉันจะรอดูแกถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้”

หลังแม่สามีแก้ไขปัญหานี้ได้เมื่อใด หล่อนก็ตั้งใจจะเอาคืนหลินเซี่ยให้สาสม ตบล้างน้ำสักสิบฉาดให้หน้ายับเยินกลายเป็นหัวหมู และถอนผมหนา ๆ ของหล่อนออกให้เกลี้ยง

…………………………………………………………………………………………………………….

虎落平陽被犬欺 เสือร่วงสู่พื้นที่ราบโดนหมารังแก เปรียบเปรยถึงคนที่เคยมีตำแหน่งสูง หรือมีอำนาจลาภยศ ต้องกลายมาเป็นคนสามัญธรรมดา หรือถูกลดตำแหน่งลงมา ทำให้ไม่มีคนยำเกรงหรือเกรงกลัวอีกต่อไป

สารจากผู้แปล

ตระกูลเสิ่นนี่แหล่งรวมเดรัจฉานหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมีแต่คนร้ายๆ

จะรอดูนะคะ แต่ขอบอกว่าหลินเซี่ยคนนี้จะไม่ยอมเป็นเหยื่อแกอีกต่อไป

ไหหม่า(海馬)