ตอนที่ 13 ทำไมต้องแต่งงานกับเธอ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 13 ทำไมต้องแต่งงานกับเธอ

ตอนที่ 13 ทำไมต้องแต่งงานกับเธอ

ผู้เฒ่าโจวขอให้เฉินเจียซิ่งพาเสิ่นเสี่ยวเหมยไปพักผ่อนในห้องฝั่งตะวันออกก่อน

ทันทีที่ผู้คนแยกย้ายออกไป แม่เฒ่าโจวก็เข้ามาปลอบโยนหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย ไม่ต้องกลัวนะ เธอแต่งงานเข้ามาตามประเพณี เป็นภรรยาของเจียเหอแล้ว ตากับยายจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขามายุ่งวุ่นวายได้”

หลินเซี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะคุณตาคุณยาย”

ตราบใดที่เธอไม่จากไป มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะมา

หลินเซี่ยเหลือบเห็นหู่จือหมอบอยู่ที่มุมหนึ่งของเตาเตียง จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ทำไมเด็กน้อยถึงวิ่งหนีไปหลบแบบนั้นล่ะ?

จากนั้นหลินเซี่ยก็ตระหนักได้ว่า ตั้งแต่โจวลี่หรงและคนอื่น ๆ เข้ามาในบ้าน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มองหู่จื่อเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นหู่จือก็ไม่ได้เรียกหาคุณย่าของเขาเลย ราวกับไม่ค่อยคุ้นเคยกัน

เขากลัวโจวลี่หรงหรือเปล่า?

หลินเซี่ยยืนอยู่หน้าเตาเตียง กวักมือเรียกหู่จือ

“หู่จือ มานี่สิ เธอกำลังทำอะไรอยู่?”

หู่จือที่หมอบอยู่ด้านหลังตาทวดเงยหน้าขึ้นพร้อมตะคอกกลับอย่างเย็นชา “ผมไม่ไป”

ผู้เฒ่าโจวกำลังสูบมอระกู่ของเขาพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หู่จือเขากลัวหลานน่ะ”

หลินเซี่ยตะลึง “???” กลัวเธองั้นเหรอ?

หู่จือกลัวว่าเธอจะทุบตีเขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นเมื่อกี้หรือ?

เจ้าเด็กหู่จือนี่

หลินเซี่ยเผยยิ้มกว้างบนใบหน้า ขณะพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นผู้หญิงใจดี

“หู่จือ ทำไมเธอถึงขี้ขลาดขนาดนี้ล่ะ? มือของฉันมีไว้เพื่อทุบตีคนเลวเท่านั้น ไม่ได้ใช้ทุบตีเธอหรอก”

หู่จือโผล่หัวเล็ก ๆ ของเขาออกจากด้านหลังผู้เฒ่าโจวและตอบกลับว่า “อาสะใภ้รองไม่ใช่คนไม่ดี หล่อนเคยซื้อขนมให้ผมด้วย”

“สำหรับเธอ ผู้หญิงคนนั้นอาจไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก่อนหน้านี้หล่อนเพิ่งดูถูกฉัน ฉันเลยต้องสั่งสอนหล่อนให้มีมารยาท ฉันทำก็เพื่อตัวหล่อนเอง เพื่อให้หล่อนตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองและสำนึกได้ก่อนจะสายไป”

หลินเซี่ยยิ้มหวานให้ผู้เฒ่าโจว “คิดเหมือนฉันใช่ไหมคะ คุณตา”

ผู้เฒ่าโจวแทบพูดไม่ออก “…”

ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราค่อย ๆ เผยรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า “เซี่ยเซี่ย ต่อจากนี้อย่าใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาอีกเลย เราค่อยพูดค่อยจา และอย่าทำร้ายกันเอง เราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าทำให้ความขัดแย้งทวีคูณความรุนแรงเลยนะ”

หลินเซี่ยตอบอย่างเชื่อฟัง “คุณตา หนูเข้าใจแล้วค่ะ”

“คุณมีปัญหาแล้วล่ะ” หู่จือเอนตัวนอนคว่ำลงบนเตียงเตาพลางแกว่งขาไปมา ใช้สองมือประคองใบหน้าและมองหลินเซี่ยด้วยความยินดี “ย่าของผมเป็นแม่มดเฒ่าที่ดุร้ายมาก ถ้าท่านต้องการไล่คุณออก ผมเกรงว่าคุณคงไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงผมแล้ว”

แม้หู่จือจะมองเธอแบบนั้น แต่เมื่อเขาคิดว่าผู้หญิงเลวคนนี้จะถูกไล่ออกจากบ้าน เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

เขาจะไม่สามารถเป็นเด็กที่เพียบพร้อมที่สุดในโรงเรียนอนุบาล

และเขาคงทำการบ้านไม่เสร็จเช่นกัน

เมื่อผู้เฒ่าโจวได้ยินหู่จือเรียกโจวลี่หรงว่าแม่มดเฒ่า เขาก็ตบก้นของเด็กน้อยด้วยฝ่ามือเหี่ยวแห้ง “หู่จือ อย่าพูดถึงคุณย่าของเหลนแบบนั้น”

หู่จือทำหน้ามุ่ยไม่ชอบใจ “ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่ ทุกครั้งที่ย่าเห็นผม ท่านจะดุด่าผมไม่หยุด ไม่เห็นเหมือนย่าของเด็กคนอื่นเลย”

ผู้เฒ่าโจวสูบมอระกู่ในมือ โดยไม่รู้จะตอบคำพูดของหู่จืออย่างไร

ณ ลานบ้าน

โจวลี่หรงมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าจริงจังและถามออกว่า “เจียเหอ อธิบายให้แม่ฟังหน่อย ทำไมแกถึงต้องแต่งงานกับหล่อนด้วย?”

เฉินเจียเหอเหยียดร่างกายสูงใหญ่กำยำขึ้นตรงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แม่ นี่เป็นปัญหาส่วนตัวของผม ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง”

“หลายปีที่ผ่านมา แม่แนะนำผู้หญิงให้แกมาตั้งกี่คน แกไม่คิดจะเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ เอาแต่บอกว่าไม่ได้อยากแต่งงานใหม่ พอข้ออ้างขอกลับบ้านเกิดไปพบตากับยาย แกกลับแต่งงานสายฟ้าแลบกับผู้หญิงคนนั้น หล่อนเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเสิ่น น้องสะใภ้ของแกเป็นอาหญิงของหล่อน การทำแบบนี้จะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านสับสนไปหมด”

โจวลี่หรงถูขมับด้วยอาการปวดหัว

เฉินเจียเหออธิบาย “ไม่ใช่อาหญิงของหล่อนอีกแล้ว หล่อนถูกตระกูลเสิ่นส่งกลับมายังชนบท ตอนนี้หล่อนจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นอีก”

“แต่ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ มันแย่แค่ไหนแกรู้ไหม? หล่อนทั้งหยิ่งผยอง เจ้าอารมณ์ และโง่เขลาเบาปัญญา ตอนนี้สถานะของแกน่าอับอายอย่างยิ่ง แกแต่งงานกับหล่อนและกลับไปเมืองไห่เฉิง คนอื่นเขาจะมองแกว่าเป็นคนยังไง? จะมองตระกูลเฉินของเรายังไง? เราจะสู้หน้าตระกูลเสิ่นอีกได้ยังไง?”

“แม่ครับ ผมแต่งงานกับภรรยาเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง จำเป็นต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ครอบครัวตระกูลเสิ่นเป็นครอบครัวของน้องสะใภ้ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่กับพวกเขาสักหน่อย”

“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ” โจวลี่หรงขมวดคิ้วขณะพูดเสียงแข็ง

“แกสองคนยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสใช่ไหม? เพิ่งแต่งงานได้สามวัน ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน แกควรกลับไปเมืองไห่เฉิงทันที ที่เหลือแม่จะจัดการเอง”

สีหน้าของเฉินเจียเหอเปลี่ยนไปเมื่อรับฟังถ้อยคำดังกล่าว ใบหน้าเคร่งขรึมยิ่งหมองหม่นลงกว่าเดิม เขาจ้องมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาเฉียบคม “สหายโจวลี่หรง รู้หรือไม่ว่ากำลังพูดถึงอะไร?”

“เฉินเจียเหอ แกล่ะรู้หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่?”

โจวลี่หรงก็ปฏิเสธที่จะปล่อยเขาเช่นกัน แม่และลูกชายยืนอยู่ข้างกำแพงและหันหน้าเข้าหากันท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด

เฉินเจียเหอลูบหว่างคิ้ว น้ำเสียงของเขาอ่อนลง “แม่ ผมอายุเกือบสามสิบแล้ว การแต่งงานไม่ได้เหมือนการละเล่นของเด็กนะครรับ”

“ฮะ?” คิ้วของโจวลี่หรงกระตุกเมื่อได้ยิน ราวกับเธอเพิ่งเข้าใจ “แกยอมแต่งเมียใหม่เพราะคิดว่าตัวเองเริ่มแก่แล้วเหรอ? ฉันเข้าใจแล้ว ด้วยภาระที่แกมีติดตัว ผู้หญิงจากครอบครัวฐานะดีอาจลังเลที่จะแต่งด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่แกยินดีแต่งงานกับลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเสิ่นใช่ไหม?”

เฉินเจียเหอขมวดคิ้วและเตือนอย่างเย็นชา “แม่ อย่าเรียกหู่จือว่าภาระอีก เขามีชื่อของตัวเอง”

โจวลี่หรงคิดว่าหล่อนเริ่มคาดเดาถึงเรื่องราวได้บ้างแล้ว ดวงตาสองวูบไหวเล็กน้อย “เอาล่ะ แม่เรียกเขาผิดเอง แกไปเก็บข้าวของเสียโดยเร็วเถอะ อย่าใช้เวลาปีใหม่นี้ในบ้านเกิดเลย พาหู่จือไปเที่ยวเล่นในเมืองไห่เฉิงดีกว่า”

เฉินเจียเหอไม่คาดคิดว่าแม่ที่เคารพความคิดของเขาเสมอมาจะยืนกรานเสียงแข็งในครั้งนี้

เขาและหลินเซี่ยได้จัดงานเลี้ยงแต่งงานไปแล้ว พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้ชายคาเดียวกันเป็นเวลาสองคืน แล้วจะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แน่นอนว่าเขาจะไม่ประนีประนอม

“ผมแต่งงานกับหลินเซี่ยแล้ว หล่อนเป็นภรรยาของผม ตราบใดที่หล่อนไม่จากไป ผมก็จะไม่ยอมแพ้”

ตั้งแต่แรกเริ่ม เขามอบทางเลือกให้เธอเอง

เมื่อเห็นความดื้อรั้นของเฉินเจียเหอ โจวลี่หรงก็หันกลับด้วยความโกรธ “แกอยากให้แม่โกรธจนตัวตายเลยสินะ พูดไปตั้งขนาดนั้นแต่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? หล่อนแต่งงานกับแกก็เพียงเพื่อจะได้กลับเข้าเมืองเท่านั้น”

เฉียเจียเหอหรี่ตาลง “นั่นเป็นเรื่องระหว่างผมกับหล่อน ให้หล่อนมาบอกผมด้วยตัวเองแล้วกันครับ”

“ผู้หญิงคนนั้นเล่นคุณไสยอะไรกันนะ? แกถึงได้หลงใหลได้ปลื้มหล่อนขนาดนั้น? หล่อนกำลังหลอกลวงแกอยู่หรือเปล่า?”

เฉินเจียเหอเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่จ้องมองเฉียบคมราวกับมีดแหลม “สหายโจวลี่หรง จำไว้ว่าคุณทำงานให้กับสหพันธ์สตรี อย่าพูดคำหยาบคายเหมือนลูกสะใภ้คนรองของคุณ!”

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ปัญหาส่วนตัวผม ผมจะตัดสินใจเอง”

สิ้นเสียงของเฉินเจียเหอ เขาหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องหลัก

โจวลี่หรงหมุนตัวไปมาด้วยความเดือดดาลใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามมาโดยไม่ยอมแพ้

ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรกับเฉินเจียเหอได้ หล่อนจึงต้องไปจัดการกับหลินเซี่ยเท่านั้น

โจวลี่หรงต้องการเรียกหลินเซี่ยให้ออกมาคุยเป็นการส่วนตัว

แต่เฉินเจียเหอปฏิเสธที่จะปล่อยหลินเซี่ยไป

พูดตามตรงแล้ว เขากลัว

กลัวว่าหลินเซี่ยจะถูกแม่ของเขาหลอก

แม้เขาจะคาดเดาถึงเจตนาที่หล่อนยอมแต่งงานกับเขาได้แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของเธอในวันนี้ทำให้เขารู้สึกคาดหวัง

“แม่” เฉินเจียเหอเข้ามาขวางทางพวกเธอ “มีอะไรก็พูดที่นี่ก็ได้”

“ได้ คุยกันที่นี่ก็ได้” โจวลี่หรงนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม การจ้องมองที่เฉียบแหลมจับจ้องไปที่หลินเซี่ยไม่วางตาขณะถามคำ “เธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ถึงได้มาแต่งงานกับเฉินเจียเหอ?”

หลินเซี่ยสบตาโจวลี่หรงและตอบกลับอย่างใจเย็น “ตามคำสั่งของพ่อแม่ฉันค่ะ เราแต่งงานและกลายเป็นสามีภรรยาแล้ว”

มุมปากโจวลี่หรงกระตุกขึ้น เธอพูดต่อว่า “เท่าที่ฉันรู้ เธอมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อเด็กตระกูลหลิวคนนั้นนี่ เธอจะลืมเขาได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หาเรื่องลูกไม่ได้ก็เลยไปลงกับสะใภ้งี้เหรอคุณแม่ เซี่ยเซี่ยเบื่อที่จะเป็นสนามอารมณ์ของทุกคนแล้วนะ

ไหหม่า(海馬)