ตอนที่ 19 สัปดาห์ที่ 10 อาคิยามะ เออิชิ (3)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

“ฉันว่านายย้ายมาอยู่บ้านฉันถาวรเลยดีกว่านะ” 

           อยู่ๆรุ่นพี่นาคาจิมะเอ่ยขึ้น เขาก้มมองสัมภาระที่ผมขนมาสองกระเป๋าใหญ่ๆ สลับกันไปมา

           “เดือนหน้าผมจะย้ายไปครับ” 

           “เอ๊ะ!?…จะมาจริงดิ?” 

           “ครับ แต่ไม่ใช่บ้านของรุ่นพี่หรอก เป็นบ้านผมเองน่ะ” 

           “บ้านนายไม่ได้อยู่เมือง I หรอกหรอ?” 

           “นั่นบ้านปู่กับย่าครับ บ้านของผมเองอยู่เมือง T เหมือนรุ่นพี่นั่นแหละ” 

           “หรอออ…งี้ก็ดีเลยเนาะมารุ ฮี่ๆๆ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงจะดีใจที่มีเพื่อนเล่นบาสอีกคน แถมยังช่วยติวหนังสือได้ด้วย หรืออาจจะมีเรื่องน่ายินดีกว่านั้นที่ผมยังไม่รู้

           รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่ดูเหมือนจะพาผมไปสู่ความมืดมิดเพราะแสงข้างนอกกำลังลดลงอีกไม่นานคงมืดสนิทผิดกับแสงไฟในรถที่ดูสว่างขึ้น

           ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะต่างโดดงานเลี้ยงฉลองแชมป์ของห้องตัวเองทั้งคู่เพราะภารกิจวันนี้จะเริ่มตอนประมาณ 6 โมงเย็น

           หน้าที่ของผมคือการตามสตอกเกอร์โอโตเมะ อามายะจนกว่าเธอจะถึงบ้าน ส่วนรุ่นพี่ต้องตามคุณคาวากุจิไปทำอะไรสักอย่างไม่ว่าฝ่ายใดจะเสร็จสิ้นภารกิจก่อนให้ติดต่อกันผ่านข้อความทางโทรศัพท์

           เราสองคนคุยรายละเอียดท่ามกลางผู้คนที่เลิกงานและกำลังกลับบ้านบนรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วนที่คนค่อนข้างเยอะแต่ไม่ถึงกับแออัด จึงอดไม่ได้ที่จะมีสายตาแปลกๆ มองมาที่เรา ไม่รู้ว่าเขารำคาญที่เราคุยกันหรือสงสัยเรื่องที่เราคุยกันมากกว่ากันแน่ 

           หนึ่งชั่วโมงนิดๆ นับแต่ออกจากประตูโรงเรียนผมมา ตอนนี้ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะและคุณคาวากุจิก็ยืนอยู่หน้าโรงเรียนฮิบิยะ หนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายที่รวบรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์และพรแสวงไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตภูมิภาคนี้

           “ตามดูเธอห่างๆ ก็พอ ถ้าเจอปัญหาหรืออะไรที่ส่อให้เกิดปัญหาให้ติดต่อยูทากะกับฉันทันที แต่ถ้าไม่มีอะไรก็ดูจนเธอเดินเข้าบ้านไปก็พอ” 

           คุณคาวากุจิย้ำกับผมอีกครั้งก่อนจะแยกตัวไปกับรุ่นพี่นาคาจิมะที่หอบสัมภาระของผมไปด้วย ผมถอยออกมายืนอีกฝั่งหนึ่งของถนนเยื้องหน้าประตูโรงเรียนเพราะชุดนักเรียนของตัวเองค่อนข้างสะดุดตา นักเรียนแทบทุกคนที่เดินออกมามองมาที่พวกผมตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

           หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็เห็นตัวเลขบนหน้าจอแสดงตัวเลข 18:01 ตามข้อมูลที่คุณคาวากุจิบอกมา โรงเรียนฮิบิยะจะให้นักเรียนกลับบ้านได้ช้าสุด 1 ทุ่ม ยกเว้นว่าขออนุญาตไว้เป็นกรณีพิเศษ ส่วนโอโตเมะไม่ได้ขออนุญาตไว้ ดังนั้นเธอไม่กลับเกิน 1 ทุ่มแน่ๆ

           ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและมองประตูเพื่อไม่ให้คลาดกับเป้าหมาย แต่กลายเป็นว่าผมเจอคนอื่นเข้าซะก่อน

           นักเรียนชายหญิง 5 คน เดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกัน ท่าทางคงอยู่ทำกิจกรรมชมรมหรือไม่ก็งานอะไรสักอย่างจนถึงตอนนี้

           “ยังขยันขันแข็งเหมือนเดิมเลยแฮะ” 

           ผมยิ้มและพึมพำเบาๆ เสียงที่เล็ดลอดละลายหายไปกับบรรยากาศอึมครึมครึ้มฝน รอบๆ ตัวมืดกว่าปกติ บวกกับชุดสีดำทั้งชุดทำให้ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตจริงๆ ก็มองเห็นผมยากในระยะที่ห่างกันแบบนี้

           [‘แบบนี้คงยังคบกับหมอนั่นอยู่ซินะ’] 

           เผลอคิดในใจไปแบบนั้นแล้วก็สะดุ้งกับความคิดของตัวเองที่เริ่มเตลิดไปในทิศทางที่ไม่เหมาะไม่ควร ผมนวดหว่างคิ้วตัวเองและจัดระเบียบความคิดให้เข้าที่รอทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก

           แล้วก็รอไม่นาน หลังนักเรียนกลุ่มนั้นผ่านไปราว 5 นาที เป้าหมายของผมก็เดินออกมา นักเรียนหญิงในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียน เสื้อเบลเซอร์พอดีตัวรับกับกระโปรงในสีเดียว คอเสื้อตัวในผูกไว้ด้วยโบว์สีเดียวกับเสื้อนอก ใบหน้าขาวได้รูปที่มองแล้วไม่ถึงขั้นเรียกว่าสวย ยิ่งมองผ่านๆ ยิ่งดูธรรมดา แต่ว่าดวงตาที่ครั้งก่อนเบิกกว้างจนกลมโตกลับดูใสกระจ่างเหมือนดวงดาวในคืนเดือนมืด และผมคิดว่าเพราะดวงตานี้ของเธอจึงทำให้ใบหน้าเธอดูมีเสน่ห์ขึ้น ในทางกลับกันเพราะเธอมีใบหน้าธรรมดาๆ ดวงตาของเธอจึงได้ดูเปล่งประกายแบบนั้น

           “อ้าว ไหงออกมาพร้อมหมอนั่นล่ะ” 

           ข้างเด็กสาวที่ผมยืนคิดพิจารณาอยู่เมื่อครู่มีนักเรียนชายคนหนึ่งเดินอยู่ เหมือนจะเดินคุยอะไรกันอยู่ นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองไปที่เขาและเธอ ผมรอจนกระทั่งทั้งสองเดินออกจากโรงเรียนไปสักพักจึงพิมพ์ข้อความส่งให้รุ่นพี่นาคาจิมะ

           [ โอโตเมะ อามายะ กลับบ้านพร้อมนิโนะมิยะ เรียว แบบนี้ถือว่าปกติไหมครับ? ]

           ไม่มีคำตอบ ผมเดินตามทั้งคู่ไปห่างๆ แล้วก็เห็นทั้งคู่หยุดคุยกัน

           [‘คุยอะไรกันตรงนี้ล่ะเนี่ย’] 

           เนื่องจากอยู่ไกล จึงไม่ได้ยินเสียงที่ทั้งคู่คุยกัน แต่ดูจากท่าทางก้มหัวของพ่อหนุ่มนิโนะมิยะนั่นแล้ว ถ้าไม่ขอโทษก็คงสารภาพรักนั่นแหละหรืออาจจะทั้งสองอย่างเลยก็ได้

           ทั้งคู่คุยกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มเดินต่อ ผมเองก็ตามต่อห่างๆ เพราะแถวนี้ไม่มีที่ให้หลบมากนัก ถ้าไม่ติดว่าผมคุ้นเคยกับเส้นทางแถวนี้ ผมอาจจะหลบสายตาของทั้งสองคนนั่นไม่พ้นก็ได้

           เหมือนทั้งสองคนจะไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนถึงบ้านของโอโตเมะ ผมเห็นทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่แปบนึงเป็นจังหวะเดียวกับที่รุ่นพี่นาคาจิมะโทรเข้ามา ผมก้มมองโทรศัพท์และรับสายรุ่นพี่ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาพอดีกับจังหวะที่โอโตเมะหันมาทางนี้พอดี ผมรีบฉากหลบเข้ามุมถนนตรงนั้นไม่รู้ว่าทันหรือเปล่า แต่ยังไงซะเธอก็ถึงบ้านแล้วหน้าที่ผมในวันนี้ก็หมดแล้วเช่นกัน

           ผมเดินกลับบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะพร้อมกับรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟัง ทั้งถนนมีผมเดินอยู่คนเดียว แม้จะเปลี่ยวไปบ้างแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางดี ก็แค่รู้สึกคิดถึงเท่านั้นเอง

           “ทนเอาหน่อยนะเออิชิ เดือนหน้าก็กลับมาแล้ว” 

                                                                  —

           ช่วงสายวันนี้ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะนัดกันไปเดินหาเสื้อผ้าใหม่ที่จะใส่ไปงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน ซึ่งอันที่จริงผมเสนอให้ใส่ชุดนักเรียนไปแต่โดนรุ่นพี่มองบนใส่บอกว่าถ้าใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนไปมีหวังโดนกันอยู่หน้าประตูทางเข้าแหงๆ เราจึงเลือกที่จะใส่ชุดไปรเวทไปแทน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการไปเดตซื้อเสื้อผ้าของเราทั้งคู่

           “ทำไมรุ่นพี่ไม่ให้คุณคาวากุจิไปช่วยเลือกล่ะครับ” 

           ผมถามรุ่นพี่ขณะที่กำลังคุยกันเรื่องไปซื้อของเมื่อคืน

           “เธอบอกว่าถ้าธุระเสร็จทัน เธอจะก็จะไปน่ะ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะตอบมาแค่นั้นแล้วก็นอนแน่นิ่งไป ทิ้งคำพูดให้ผมสังหรณ์ใจว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องเดินซื้อของคนเดียว

           แล้วลางสังหรณ์ของผมก็ทำงานได้ไม่ผิดพลาด เมื่อคุณคาวากุจิโทรมายืนยันว่าจะไปเจอพวกเราที่ห้างบันโชวตอน 11 โมงตอนที่ผมกำลังนั่งกินข้าวเช้ากับครอบครัวนาคาจิมะ

           น่าแปลกใจที่ผมสามารถเข้ากับครอบครัวของรุ่นพี่ได้ดีแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่นานนัก พ่อกับแม่ของรุ่นพี่ดีกับผมมาก ดีมากจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เกรงอกเกรงใจครอบครัวของรุ่นพี่นะ แค่มันรู้สึกดีใจและอบอุ่นทุกครั้งที่มาที่นี่ เป็นความรู้สึกที่เมื่อก่อนสามารถเจอได้ทุกวันเมื่อกลับบ้าน 

           บ้านที่แม่มักจะทำกับข้าวพร้อมกับข้าวกล่องทิ้งไว้ให้ตอนเช้าก่อนออกไปทำงานพร้อมกับพ่อ 

           บ้านที่พ่อมักจะกลับมาถึงตอน 1 ทุ่มแล้วก็จะบ่นคิดถึงแม่พร้อมกับขยี้หัวผมไปด้วย

           บ้านที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ในทุกๆ เช้า และทุกๆ เย็น

           บ้านที่ตอนนี้คงอยู่แค่ในความฝันและความทรงจำของผม

           10 โมงตรง ผมกับรุ่นพี่ออกจากบ้านมุ่งตรงสู่ห้างบันโชว อันที่จริงเราใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 30-45 นาที แต่รุ่นพี่บอกว่าผู้ชายต้องไปถึงก่อนผู้หญิงเสมอ ถึงผมจะไม่ได้ถือคตินั้นแต่ก็ไม่คิดว่าแนวคิดของรุ่นพี่ผิด ดูแล้วออกจะเป็นสุภาพบุรุษด้วยซ้ำไป

           แล้วผมก็มายืนอยู่หนทางเข้าห้างอีกครั้งหนึ่งในรอบสองเดือน ไม่รอช้า ผมบอกรุ่นพี่นาคาจิมะว่าขอไปดูเสื้อผ้าคนเดียว ไม่อยากเป็น กขค ของรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิ แม้รุ่นพี่นาคาจิมะจะยื้อยุดฉุดกระฉากยังไงผมก็ไม่ยอมไป สุดท้ายรุ่นพี่ก็ยอมปล่อยผมไปแต่โดยดี

           “จำไว้เลยนะมารุ จำไว้..อึ่มม..” 

           ก็…นั่นละครับ ปล่อยไปแต่โดยดีของรุ่นพี่

           หลังแยกตัวออกมาผมเดินไปรอบๆ ห้างชั้นแรกโดยไร้จุดหมาย ห้างบันโชวเองก็ใหญ่มาก ตัวห้างมีถึง 4 ชั้นไม่รวมชั้นใต้ดินแต่ละชั้นมีพื้นที่กว้างขนาดพอๆ กับสนามฟุตบอล เรียกได้ว่าถ้าให้เดินสำรวจทุกร้านต่อใช้เวลาทั้งวันก็ไม่พอ

           ผมเดินไปตามเส้นทางในความทรงจำที่ครั้งก่อนได้เดินไป มองดูร้านรวงต่างๆ ที่ทั้งคุ้นตาแปลกตาโดยไม่ได้แวะร้านใด เพราะผมไม่ได้อยากมาซื้อของแต่แรกอยู่แล้ว

           เดิมทีก็ไม่ได้สนใจที่จะไปงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนอะไรนั่นแต่เพราะรุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิอุตส่าห์หาบัตรมาให้จึงยอมตกลงไป ตอนนี้ให้มาเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อใส่ไปงานโดยเฉพาะ ผมยิ่งไม่มีอารมณ์เลือกซื้อเข้าไปใหญ่

           เดินไปเดินมาก็เริ่มรู้สึกเบื่อแต่จะกลับเลยก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ถ้ามาเดินได้แค่ 15 นาที แล้วกลับ เวลาที่อุตส่าห์นั่งรถไฟมาเกือบชั่วโมงคงสูญเปล่าแย่ ในตอนที่สองจิตสองใจโทรศัพท์ก็สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง หยิบออกมาดูก็เจอข้อความจากเบอร์ที่ไม่มีในบัญชีรายชื่อติดต่อ มองดูตัวเลขก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคนรู้จักแต่ยังนึกไม่ออก

           -มาคนเดียวหรอ? –

           ข้อความถูกส่งมาแค่นั้น ผมมองไปรอบๆ หาตัวคนส่งแต่ไม่เจอ จังหวะยังนึกไม่ออกว่าใครเป็นคนส่งก็เลือกที่จะเดินไปนั่งตรงจุดพักที่ทางห้างจัดไว้ให้

           โซนที่พักที่ห้างจัดไว้อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ในตอนแรกนัก มีที่นั่งที่เป็นม้านั่งยาวจัดวางไว้ให้หลายตัว ภายในโซนจัดตกแต่งเลียนแบบสนามหญ้าและมีต้นไม้ปลอมรวมถึงน้ำตกจำลองวางไว้อย่างกลมกลืน 

           ผมเลือกม้านั่งที่ว่างอยู่ตัวนึงแล้วนั่งลง สายตามองไปรอบๆ เผื่อจะเจอคนส่งข้อความแต่ก็ไร้วี่แวว ขณะเดียวกันสมองก็ทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความมา

           [‘อ๊ะ’] 

           ในที่สุดสมองก็จับคู่เบอร์โทรศัพท์ในความทรงจำกับเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความมาจนได้

           ผมมองหาหมอนั่นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เจอ ไม่รู้ว่าไม่กล้าสู้หน้าหรือว่าอยากปั่นประสาทผมเฉยๆ

           “ยังกล้าติดต่อมาอีกแฮะ คราวนี้บล็อกเบอร์ไปเลยแล้วกัน” 

           ผมเผลอแสยะยิ้มพึมพาอยู่คนเดียว มือกดโทรศัพท์ของตัวเองบล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความเข้ามาเมื่อครู่ เสร็จแล้วจึงเก็บโทรศัพท์ไว้ตามเดิม

           ฟู่….

           ผมปล่อยลมหายใจยาว นั่งมองไปที่น้ำตกจำลองตรงหน้า สายน้ำไหลลงมาตามหน้าผาจำลองที่มีรากต้นไม้อะไรสักอย่างพันเกี่ยวไว้อยู่ เสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ดังออกมาฟังแล้วชวนสบาย แล้วความคิดของผมก็เริ่มล่องลอย ภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายที่พูดคุยกับหมอนั่นฉายชัดขึ้นมา นั่นคือวันจบการศึกษาตอน ม.ต้น 

           “เออิชิ ฉันจะสารภาพรักกับยูบิจัง” 

           หมอนั่นพูดกับผมแบบนั้น ผมที่ได้ยินถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาเจอเหตุการณ์เพื่อนตัวเองแอบชอบแฟนตัวเอง แถมเพื่อนยังมาบอกว่าจะสารภาพรักกับแฟนตัวเองอีก

           “นายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองพูดอะไรอยู่” 

           “รู้ซิ ฉันถึงได้มาบอกนายก่อนไง” 

           นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราสองคนคุยกัน และช่วงสายของวันนั้นหลังพิธีจบการศึกษาเสร็จสิ้นลง บางคนหัวเราะสนุกสนาน บางคนร้องไห้อยู่กับกลุ่มเพื่อน บางคนถูกสารภาพรัก บางคนก็กำลังสารภาพรัก ส่วนผมกำลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สูญเสียตำแหน่งที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมของตัวเอง

           “แง้…ไม่เอา…หนูจะกินแฮมเบอร์เกอร์..” 

           เสียงเด็กผู้หญิงคนนึงปลุกผมจากภวังค์ พอมองไปตามเสียงนั้นก็เห็นเด็กผู้หญิงน่ารักน่าเอ็นดูคนนึงกำลังร้องไห้งอแง มีผู้หญิงอีกคนนึงที่น่าจะเป็นแม่กำลังปลอบอยู่ ไม่นานนักเด็กผู้หญิงก็หยุดร้องไห้แล้วอ้อนขอให้แม่เธออุ้มพาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ ผมมองตามสองแม่ลูกนั้นไปจนลับสายตาแล้วจึงลุกขึ้น เวลาตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว นั่งฟุ้งซ่านต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น คงต้องไปหาอะไรใส่ท้องบ้างเหมือนกัน

           สองขาพาร่างกายออกจากโซนที่พักมุ่งสู่โซนอาหารที่อยู่ชั้นถัดไป ฟังดูเหมือนจะไม่ไกลแต่พอเดินจริงๆ ผมก็ต้องใช้เวลาเกือบ 10 นาที

           โซนอาหารประกอบไปด้วยร้านอาหารมากมาย มีตั้งแต่ร้านครอบครัวราคาย่อมเยาไปจนถึงร้านหรูระดับภัตตาคารที่อาหารจานละหลายหมื่น

           ผมเลือกร้านที่คราวก่อนรุ่นพี่พามาเลี้ยง หลังสั่งอาหารและยืนรอไม่นานก็ได้อาหารมา ผมยกถาดอาหารพร้อมน้ำดื่มไปวางที่โต๊ะซึ่งเหลือว่างอยู่ตัวเดียวเพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาอาหารกลางวัน โต๊ะติดกันเป็นกลุ่มเด็กผู้หญิงที่น่าจะเป็นเด็ก ม.ปลาย นั่งกันอยู่ 4 คน

           ผมนั่งลงที่โต๊ะโดยหันหลังให้ทั้ง 4 คนนั้น กำลังจะตักอาหารเข้าปาก หูเจ้ากรรมก็ดันได้ยินเสียง 4 สาวด้านหลังคุยกันเข้า 

           ขณะที่กำลังขอโทษพวกเธออยู่ในใจว่าไม่ตั้งใจแอบฟัง ชื่อหนึ่งก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท

           “เธอควรระวังรุ่นพี่คาวากุจิไว้หน่อยนะเรกะ ถึงจะเป็นอดีตประธานไปแล้ว แต่ประธานนักเรียนคนปัจจุบันก็เป็นคนของเธอนะ “

           1 ใน 4 คนนั้นเอ่ยเตือนเพื่อนที่ชื่อเรกะ ถ้ารุ่นพี่คาวากุจิที่ทั้ง 4 คนนี้พูดถึงคือคนๆเดียวกับรุ่นพี่คาวากุจิที่ผมรู้จักล่ะก็ งานนี้คงต้องขอสอดรู้สอดเห็นสักหน่อยแล้ว

           ผมกินอาหารที่สั่งมาช้าๆ ฟังเสียงพูดคุยจากโต๊ะข้างหลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้ง 4 คน ลุกออกไป

           [‘เอาไงดีล่ะเนี่ย จะบอกรุ่นพี่เลยดีไหม หรือว่าปล่อยไว้ก่อนดี’] 

           ผมดูดน้ำจากแก้วก่อนลุกขึ้นและออกจากร้านไป จากคำพูดที่ 4 สาวคุยกันเมื่อกี้นี้ สรุปคร่าวๆ ได้ว่าพวกเธอวางแผนอะไรไว้สักอย่าง ตัวการคือคนที่ชื่อเรกะ เป้าหมายคือโอโตเมะ อามายะ แต่เหมือนคุณคาวากุจิจะระแคะระคายอะไรเข้า พวกเธอจึงต้องชะลอแผนการไว้ก่อน แต่เพราะได้ยินไม่ชัดทั้งหมด ใจความบางส่วนเลยหายไปไม่ชัดเจน ผมชั่งใจอยู่พักนึงก็ตัดสินใจยังไม่บอกรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิ เนื่องจากได้ยินว่า 4 คนนั่นจะชะลอแผนไปก่อน เพราะงั้นตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้รุ่นพี่ได้เดตกับคุณคาวากุจิไปก่อนก็แล้วกัน

           กะจะเดินเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนร่างกายอยากจะพักผ่อนขึ้นมาอีก คำกล่าวที่ว่า หนังท้องตึงหนังตาหย่อน ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนกล่าว แต่ผมรู้สึกว่าเขาช่างเข้าใจชีวิตเสียจริง เดินออกจากโซนอาหารมาได้ไม่กี่ก้าวผมหาวไปแล้ว 2 รอบ หูเริ่มจะอื้อๆ เหมือนจะได้ยินเสียงไม่ชัด ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ แก้อาการหูอื้อนั่นแล้วเริ่มมองป้ายทางไปห้องน้ำโดยหวังว่าน้ำในห้องน้ำถ้านำมาล้างหน้าแล้วจะทำให้ตาสว่างขึ้นได้บ้าง แต่ลืมไปว่าห้างนี้มันกว้าง ห้องน้ำมีอยู่มากก็จริง แต่อยู่ห่างกันมากเลยทีเดียว

           สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ให้แก่โซนพักผ่อนของชั้นนี้ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นโซนพักผ่อนนี้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าคนออกแบบที่นี่เขาคำนึงถึงคนกินอิ่มแล้วอยากหาที่งีบด้วยแน่ๆ

           ผมเลือกม้านั่งที่ว่างอยู่ตัวนึ่งแล้วนั่งลงชิดที่วางแขนฝั่งขวาของที่นั่ง จัดระเบียบร่างกายให้มั่นคงและหลับตาลง สติล่องลอยไปแทบจะทันทีที่หลับตา