หงึก…
ผมสะดุ้งตื่นจากการที่ร่างกายเสียสมดุล ลืมตามองซ้ายมองขวาแล้วค่อยโล่งใจที่ไม่มีคนมองอยู่ ผมถือโอกาสนั้นยืดแขนทั้งสองข้างขึ้น เหยียดแขนจนสุด บิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“ว๊ายย!!…”
“อุ้ยย?!…”
เสียงร้องของผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง จังหวะเดียวกับที่มือผมไปชนเข้ากับความนุ่มนิ่มบางอย่าง ผมอุทานเบาๆ พร้อมกับหันไปดู
ดวงตาสวยคู่นั้นจ้องมองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เจ้าของดวงตากำลังยืนกอดออก ถอยห่างจากผมไป เห็นแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าคงไม่ได้โดนตรงนั้นใช่ไหม
“ลามก โรคจิต!”
[‘อ่า…โดนเต็มๆ เลยนี่หว่า’]
ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้งแต่ยังไม่หายเมื่อยตัว ยังไงซะก็ช่างเรื่องเมื่อยตัวไปก่อนเพราะตอนนี้เหมือนผมจะเจอปัญหาใหญ่ตรงหน้า โอโตเมะ อามายะ กำลังจะใช้สายตาฆ่าผมอยู่
“ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ข้างหลัง ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ว่ากันว่าการขอโทษเป็นก้าวแรกของการประนีประนอม ผมก้มหัวขอโทษเธอเล็กน้อย แววตาอาฆาตดูจางลงไปมาก อื้มมม..ขั้นแรกสำเร็จ งั้นขั้นต่อไป ชักจูงไปเรื่องอื่น หันเหความสนใจไปให้มากที่สุด
“เธอมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า หรือแค่บังเอิญผ่านมา?”
“อ๊ะ..ใช่ พวกรุ่นพี่ให้ฉันมาตามนาย พวกเรากำลังจะไปดูหนังสือคู่มือให้คุณนาคาจิมะกัน เห็นนายนั่งอยู่พวกรุ่นพี่เลยให้ฉันมาตาม… หะ..เอ้ยยย นายเปลี่ยนเรื่อง!!”
โอโตเมะชี้หน้าผมโวยวายว่าผมเปลี่ยนเรื่อง อืมมม..เปลี่ยนจริงๆ นั่นแหละ แผนขั้นสองล้มเหลวเสียแล้ว แม่นี่หัวไวกว่าที่คิดเฮะ
ผมเปลี่ยนแผนทันที ใช้กลยุทธ์ตามน้ำแล้วค่อยพาไหลไปเรื่องอื่นอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แต่กำลังถามถึงสาเหตุที่เธอมายืนอยู่ข้างหลังฉันจนมันเกิดเรื่องต่างหาก ถ้ารู้ที่มาที่ไปเราก็จะได้คุยกันง่ายขึ้น หรือเธอไม่คิดแบบนั้น?”
โอโตเมะยังคงมองผมด้วยสายตาอาฆาตเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีความหวาดระแวงเข้ามาอีก ผมละไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เธอมีดวงตาที่สวยขนาดนี้แต่ทำไมเวลาเจอกันเป็นต้องมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตรทุกที
สถานการณ์ยังไม่ลดความตึงเครียดลง เห็นทีต้องใช้แผนย้ายที่ ออกจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด
“แล้วพวกรุ่นพี่อยู่ไหนล่ะ?”
ผมเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง รู้อยู่แล้วว่าพวกรุ่นพี่ไม่อยู่แถวนี้เพราะมองหาแล้วไม่เจอ จึงเลือกคำถามที่จะพาผมออกไปจากที่นี่ แต่ผิดคาดโอโตเมะไม่ตอบ เธอเพียงแค่จ้องมาที่ผมเขม็ง
[‘เป็นผู้หญิงที่ดื้อเหมือนกันแฮะ’]
ผมมองดูเธอ เธอก็มองดูผม เล่นเกมจ้องตากันพักนึงผมก็ต้องยอมแพ้ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เธออยากให้ฉันทำยังไงหรอ? เธอก็รู้ว่าเมื่อกี้มันอุบัติเหตุและฉันไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเธอไม่โอเคก็บอกมาว่าอยากให้ฉันทำอะไร ถ้าทำได้ฉันก็ยินดีทำ”
ลูกผู้ชาย ยืดได้ ก็หดได้ ผมยอมถอยให้โอโตเมะแบบสุดๆ แผนที่วางไว้ในหัวใช้การไม่ได้เพราะเธอไม่ตอบสนองอะไรเลย
ยืนรอสักพักเธอก็ยังไม่ตอบกลับมาจนผมชักจะเริ่มหมดความอดทน นี่เธอเป็นใบ้ไปแล้วหรือไงนะ
ยืนจ้องตากันแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย ผมก้มหัวให้เธอแบบเต็มพิธี ขอโทษเธอที่ไม่ระวังจนเกิดปัญหาขึ้น แล้วผมก็หมุนตัวจากไปไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ
“อ๊ะ…ดะ..เดี๋ยวซิ รุ่นพี่ให้พวกเราไปเจอกันที่…”
“เธอไปเองคนเดียวเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”
ผมพูดแทรกเธอก่อนที่เธอจะพูดจบ นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่พูดแทรกเธอแบบนี้
“นี่…”
เธอเรียกแต่ผมไม่สนใจ ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เจอกันเป็นต้องมีเรื่องให้ไม่เข้าใจกันทุกที ถึงจะไม่ถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงแต่มันก็ทำให้ผมรำคาญใจไม่น้อย หลังจากนี้ก็หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับยัยนี่ดีกว่า
“นี่ ก็บอกให้รอก่อนไง ทำไมนายชอบเดินหนีฉันนักนะ”
แขนซ้ายผมถูกดึงไว้เลยจำเป็นต้องหยุดเดิน แต่อารมณ์ผมเริ่มจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยัยนี่มันจะอะไรกันนักกันหนานะ
ผมหันหน้ามาหาเธออีกครั้ง พยายามไม่แสดงสีหน้ารำคาญใจให้เห็นแต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะเธอชะงักทันทีที่ผมหันไป
“ต้องการอะไรอีก? ถ้าอยากจะแจ้งตำรวจว่าฉันอนาจารก็ได้ แล้วเราค่อยไปเคลียร์กันที่สถานีตำรวจ”
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า แต่ฟังน้ำเสียงของตัวเองตอนนี้ผมว่าเธอต้องรู้แล้วแหละว่าผมอารมณ์ถึงขั้นไม่ดีอย่างมาก
โอโตเมะปล่อยมือจากแขนผม เธอถอยหลังไปก้าวนึงท่าทางดูแล้วคงกลัวผมจะทำอะไรเธอ โดยเฉพาะดวงตานั่นฉายแววหวาดกลัวออกมาชัดเจนและมันทำให้ผมอารมณ์เสียขึ้นไปอีก
ผมไปทำอะไรให้เธอกันนะ อยู่ๆ เธอก็เดินเข้ามาข้างหลังผมเอง จริงอยู่ว่าผมผิดที่ไม่ระวัง แต่ก็ขอโทษไปแล้ว ถึงขั้นก้มหัวขอโทษอย่างจริงใจแล้วเธอยังจะเอาอะไรจากผมอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ผมพยายามเต็มที่ที่จะไม่ระเบิดคำพูดหรือการกระทำอันไร้การศึกษาออกมา และหวังว่าตัวเองจะออกไปจากตรงนี้โดยเร็วเสียที
“ฉันไม่ได้อยากทำอะไรแบบนั้นซะหน่อย คะ..แค่..รุ่นพี่ให้มาตามนาย พวกเขาไปรอเราที่ร้านหนังสือก่อนแล้ว ทะ..ทำไม นายต้องโกรธฉันขนาดนั้น?”
“บอกพวกรุ่นพี่ว่าฉันไม่ค่อยสบาย กลับไปก่อนแล้ว”
ผมตัดบทแบบง่ายๆ เตรียมตัวจะออกเดินอีกครั้ง แต่…
“เดี๋ยววว…”
เสียงของโอโตเมะเบาลงจนจางหายไปเพราะการหันกลับมามองของผม เธอย่นคอลงเล็กน้อยท่าทางเหมือนลูกแมว เห็นแบบนั้นแล้วอารมณ์ที่จวนเจียนจะระเบิดของผมก็เหมือนจะเลื่อนการประทุออกไปได้อีกหน่อย
“ขะ..ขอโทษ..”
คำขอโทษเบาหวิวออกมาจากปากของโอโตเมะ เธอเงยหน้ามองผมแล้วก้มหน้าลงหลบตา คงกลัวผมมากจริงๆแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความกล้าที่จะรั้งผมไว้ถึง 2 ครั้ง ช่างเป็นผู้หญิงที่ย้อนแย้งอะไรแบบนี้
ผมยืนจ้องเธอเงียบๆ รอดูว่าเธออยากจะทำอะไร เธอก้มหน้างึมงำอะไรฟังไม่ออก ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่ทำผิดมาแล้วถูกพ่อแม่จับได้ ยืนกระสับกระส่ายจนคนรอบๆ เริ่มมองมาที่เรา
[‘คนอื่นจะคิดว่าเธอโดนเรารังแกหรือเปล่า’]
สายตาคนรอบข้างเริ่มมองมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนผมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก้มหน้ามองโอโตเมะที่ยืนก้มหน้าถูนิ้วมืออยู่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยยืนประจันหน้ากันในระยะใกล้แบบนี้เลยไม่เคยสังเกตว่าเธอตัวสูงแค่ไหล่ของผมเอง ในมุมมองที่มองจากมุมสูงแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอดูตัวเล็กกว่าปกติมากทีเดียว ยิ่งอยู่ในสภาพที่กลัวลนลานแบบนี้ยิ่งดูน่าสงสาร มิน่า…คนที่เดินผ่านไปมาถึงได้มองมากันมากนัก
ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ผมก้มตัวลงเล็กน้อย ระยะห่างเดิมที่เธอถอยออกไปก้าวนึงไม่ใช่ระยะห่างที่มากมายอะไรสำหรับผมพอก้มตัวลงแบบนี้ก็น่าจะเอื้อมมือไปถึงเธอได้ แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อมองใบหน้าของเธอจากมุมนั้น
ดวงตาแวววาวของเธอวาบวับฉ่ำน้ำ เธอหยุดงึมงำไปแล้วแต่เม้มปากน้อยๆ แทน มือทั้งสองข้างเลื่อนไปกำชายกระโปรงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ที่รู้แน่ๆ คือตอนนี้เธอกำลังจะร้องไห้แล้ว อารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าละลายหายไปกับสายตาเธอที่มองตอบมา แต่ความกังวลใจดันก่อตัวขึ้นมาแทน
จะไม่ให้ผมกังวลใจได้ยังไง ตั้งแต่จำความได้ผมยังไม่เคยทำผู้หญิงคนไหนร้องให้มากก่อนเลย แม้แต่ตอนทะเลาะกับแฟนเก่าก็ไม่เคยทำเธอน้ำตาซึมแบบนี้
เส้นเลือดที่ขมับผมกระตุก สมองประมวลผลหาทางระงับน้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าสุดความสามารถ ขืนปล่อยให้เธอมาปล่อยโฮกลางห้างแบบนี้ ผมต้องไม่พ้นตกเป็นจำเลยสังคมแน่ๆ
“ฉัน…น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?”
ผมเอ่ยปากไปในที่สุด พยายามทำเสียงที่คิดว่าฟังแล้วคนฟังจะรู้สึกสบายใจแต่ไม่รู้จะได้ผลไหม โอโตเมะมองผมเงียบๆ ริมฝีปากเล็กๆ เม้มขึ้นน้อยๆ ในดวงตาสวยงามคู่นั้นที่กำลังจ้องมองมาที่ผมสั่นเล็กน้อย ไม่เห็นความกลัวหรือหวาดระแวงอยู่ในนั้น แต่กลับเป็นแววตาที่เหมือนกับกำลังน้อยใจ สุดท้ายเธอก็พยักหน้า