ฟู่…ผมถอนหายใจออกมา แค่ช่วงเวลาประเดี๋ยวเดียวต้มน้ำไม่ทันเดือด แต่อารมณ์ผมขึ้นๆ ลงๆ เป็นรถไฟเหาะตีลังกาไปแล้ว ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกว่าผมน่ากลัว แต่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนกลัวจนจะร้องไห้
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้โกรธหรอกนะ หน้าตาฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”
ผมพยายามปลอบเธอให้สงบลง อารมณ์ตอนนี้เหมือนกำลังปลอบเด็ก ไม่ยักกะรู้ว่าเธอมีด้านแบบนี้ด้วย ถ้าที่ผ่านมาเธอใช้ด้านแบบนี้มาคุยกับผมบ้าง บางทีตอนนี้เราอาจเป็นเพื่อนกันไปแล้วก็ได้…ล่ะมั้ง
“ก็นายไม่ยอมฟังฉันบ้างเลย ครั้งก่อนนายก็ไม่ฟัง หนนี้ก็ยังไม่ยอมฟังอีก เอาแต่เดินหนีตลอดเลย…”
เริ่มแรกเสียงก็เบาๆ แต่พูดไปเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนรอบๆ เริ่มมองมาอีกแล้ว โอยยย…ชักจะไม่ไหวแล้ว ยัยนี่เป็นไบโพลาร์หรือไงเนี่ย
“ฉันบอกแล้วว่ารุ่นพี่ให้มาตามนายไป นายก็จะกลับท่าเดียว ทิ้งให้ฉันไปเป็น กขค พวกรุ่นอยู่คนเดียวอีกหรือไง มันอึดอัดนะ อย่างน้อยถ้านายไปด้วยฉันจะได้ไม่อึดอัดมากขนาดนั้น…”
[‘แล้วทำไมเธอไม่แยกตัวออกมาเล่า’]
ผมทำได้แค่เอ่ยถามในใจ เพราะยัยโอโตเมะพอเริ่มพูดแล้วพูดไม่หยุดแถมเสียงยังดังขึ้นเรื่อยๆ อีก ขืนไม่รีบหยุดมีหวังคนมองกันทั้งห้างแน่ๆ
“ตกลงๆ ไปก็ไป เธอหยุดโวยวายก่อนนะ”
“อะไร นายว่าใครโวยวาย พูดให้ดีๆ นะ”
“อ่าๆๆ เข้าใจแล้วๆ ไม่โวยวายๆ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเค้กขอโทษแล้วกันนะ ตอนนี้ไปกันเถอะ”
“ห๊ะ…! นี่จะปิดปากฉันด้วยขนมงั้นเหรอ อย่าคิดว่าตัวโตกว่าแล้วจะมองฉันเป็นเด็กได้นะ ฉัน..”
“ถ้ายังไม่หยุดฉันจะจูบละนะ”
ผมพูดพร้อมกับก้าวไปขางหน้าก้าวนึงแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย ระยะแค่นี้ไม่ถึงขั้นเรียกว่าประชิด แต่ก็ใกล้พอจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวโอโตเมะ กลิ่นหวานอมเปรี้ยวเหมือนผลไม้อะไรสักอย่าง
อุ๊ฟ…โอโตเมะยกมือทั้งสองข้างปิดปาก ดวงตาโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เธอเอนตัวหลบไปข้างหลังแต่ไม่ยักกะก้าวถอยออกไป ท่าทางแบบนั้นของเธอดูน่ารักและตลกไปพร้อมๆ กันจนผมเผลอหัวเราะออกมา
“หึๆๆ ล้อเล่นน่า เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วออกเดินนำไปร้านเค้กที่เดินผ่านมาตอนที่ออกมาจากโซนอาหาร
“ดะ..เดี๋ยวซิ นายจะไปไหน?”
ผมหันมามองโอโตเมะที่ถึงจะถามว่าไปไหนแต่ก็เดินตามมา เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ทั้งที่บอกว่ากลัวแต่ก็ไม่หนีไป ทั้งที่ครั้งก่อนๆ ดูเป็นคนมั่นอกมั่นใจแต่คราวนี้กลับทำตัวเหมือนเด็กน้อย ช่างเป็นผู้หญิงที่เข้าใจยากเสียจริง
“ไปกินขนมหวานกัน หรือว่าเธอไม่ชอบ?”
“ชะ..ชอบ…แต่รุ่นพี่จะรอ…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันบอกรุ่นพี่เอง เธอเองก็ไม่อยากไปเป็น กขค พวกเขาใช่ไหมล่ะ ฉันก็เหมือนกัน เพราะงั้นฉันถึงได้หนีออกมานี่ไง”
ผมพูดไปมือก็กดโทรหารุ่นพี่ไปด้วย พูดจบปุ๊บรุ่นพี่นาคาจิมะก็รับสายปั๊บ
“รุ่นพี่ครับ ผมพาโอโตเมะไปกินเค้กนะครับ…ครับ ผมทำเธอโกรธนิดหน่อยน่ะ…ครับๆๆ เข้าใจแล้วครับ…ครับ เดี๋ยวส่งถึงบ้านเลย…เอ๋ เย็นนี้เล่นบาสอีกหรอ…แต่รองเท้าอยู่ที่บ้านรุ่นพี่นะครับ…ทราบแล้วครับ อยู่ที่เดิมนะครับ…ครับๆ เดี๋ยวเอาไปให้ เจอกันที่สนามเวลาเดิมนะครับ…หืมม ชวนไปทำไมครับ…ครับ ผมจะลองถามดู…ครับๆ”
รุ่นพี่นาคาจิมะสั่งงานผมเรียบร้อยแล้วก็วางสายไป หันไปมองด้านข้างก็เจอโอโตเมะจ้องมองมาอย่างสงสัย ท่าทางแหงนหน้ามามองนั่นดูยังไงก็เด็กน้อยชัดๆผมยิ้มให้เธอบอกให้เธอรู้ว่าทุกอย่างโอเค เธอพยักหน้าแล้วเดินไปพร้อมผมเงียบๆ
อารมณ์หงุดหงิดของผมลดวูบไปตั้งแต่เห็นโอโตเมะทำท่าจะร้องไห้ สายตาที่ดูเหมือนน้อยใจนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในหัวผม
[‘เมื่อก่อนยัยนั่นก็เคยน้อยใจอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เห็นเคยจะร้องไห้แบบยัยนี่เลย’]
ภาพเด็กสาวผมดำยาวในความทรงจำที่มองด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจเวลาผมแกล้งเธอเล่นซ้อนทับกับภาพของโอโตเมะเป็นความทรงจำที่ยังชัดเจนมากจริงๆ ผมยิ้มกับตัวเองที่ยังคงไม่สามารถลืมสิ่งเหล่านั่นได้
ผมส่ายหัวเบาๆเพื่อปรับความคิดตัวเอง แล้วหันไปถามโอโตเมะที่เดินอยู่ข้างๆ
“ว่าแต่เธออยากกินอะไร?”
ถึงจะบอกว่าจะเลี้ยงเค้กเป็นการขอโทษ แต่ก็ยังไม่ได้ถามเจ้าตัวเลยว่าอยากกินเค้กตอนนี้ไหม ถามไว้ให้ชัวร์ก่อนดีกว่า
“อยากกินของหวานๆ เสียเลือดแล้วฉันจะมีอาการน้ำตาลตก อารมณ์ก็ชอบแปรปรวน…”
“หืมมม??”
เห็นเธอเงียบ ผมก็เลยหันไปมอง เอะใจที่เธอบอกว่าเสียเลือด แต่ดูแล้วก็ไม่เห็นเธอมีแผลตรงไหน จะว่าไปบริจาคเลือดมาก็ไม่น่าใช่ แต่คนเสียเลือดทำไมหน้าแดงแบบนั้นได้ล่ะเนี่ย อดใจไม่ไหวสุดท้ายก็เลยเอ่ยถามออกไป
“เธอบาดเจ็บตรงไหนหรอ?”
“เปล่าหรอก”
“บริจาคเลือดมา?”
“เปล่า..”
“งั้น…”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!”
โอโตเมะหันมาแว๊ดใส่ผมทำเอาผมสะดุ้ง เธอหน้าแดงราวกับจะมีควันออกมาจากหู แดงไปหมดแม้แต่หูก็แดง พอเห็นแบบนี้ผมก็มั่นใจแล้วว่าเธอเสียเลือดจากอะไร
ผมไม่พูดอะไรต่อ พาเธอเดินไปร้านของหวานแห่งหนึ่งที่เคยเข้าเมื่อตอน ม.ต้น จำได้ว่าตอนนั้นยัยนั่นชมว่าขนมที่คาเฟ่นั้นอร่อย แม้ที่นี่จะเป็นคนละสาขา แต่คิดว่าคุณภาพหรือรสชาติคงไม่ต่างกันมากนัก
เราสองคนเดินเข้าไปในร้าน พนักงานก็ออกมาต้อนรับเราทันที เธอพาเราไปที่โต๊ะนั่งแล้วเอาเมนูออกมาให้เราเลือก ผมสั่งกาแฟมาดื่มแก้ง่วง ส่วนโอโตเมะยังนั่งก้มหน้าเลือกเมนูอยู่
ผมถือโอกาสระหว่างที่นั่งรอมองไปรอบๆ ตอนนี้คนในร้านไม่เยอะมาก แต่ก็พอมีคนอยู่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นน่าจะเด็กมหาวิทยาลัยกับพวกผู้ใหญ่สามสี่คน ดนตรีที่บรรเลงเบาๆ ในร้านช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี การจัดตกแต่งร้านเป็นสไตล์ยุโรปผสมผสานกับสไตล์ญี่ปุ่นอย่างลงตัวดูแล้วไม่รู้สึกขัดตา สมแล้วที่เป็นร้านที่มีสาขาและชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาก
พนักงานรับออเดอร์แล้วเดินกลับไป ผมหันกลับมามองโอโตเมะที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เห็นว่าเธอมองผมอยู่ก่อน ปากเล็กๆ ของเธออ้าออกเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมา ผมรอดูว่าเธอจะทำอะไรจึงนั่งรอเงียบๆ
“..คือ ขอบคุณนะ…แล้วก็…ขอโทษ”
ในที่สุดโอโตเมะก็พูดออกมา แถมคำพูดยังเป็นคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเธอในตอนนี้ด้วย ทำเอาอารมณ์หงุดหงิดขุ่นมัวที่เหลืออยู่ของผมหายไปหมด แต่ผมก็ยังจ้องเธอต่อรู้สึกอยากแกล้งเธอขึ้นมาจนอดไม่ได้
“ฉะ..ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้นายโกรธ นายยกโทษให้ฉันนะ ส่วนขนมนี่เดี๋ยวฉันจ่ายเอง นายไม่ต้องเลี้ยงฉันหรอก”
“…”
“นี่…อย่าเอาแต่เงียบแล้วจ้องฉันซิ ฉันเริ่มกลัวอีกแล้วนะ”
โอโตเมะเริ่มเสียงเบาลง เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย เห็นแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร
“ปวดท้องไหม?”
ผมเอ่ยถามเบาๆ
“เอ๊ะ!?”
“เธอปวดท้องไหม? หรือไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า?”
โอโตเมะมองผมด้วยสายตาตื่นๆ ผมเองก็ไม่ได้เร่งรัดบังคับเอาคำตอบ ต่างฝ่ายต่างเงียบทำเพียงจ้องหน้ากันเท่านั้น
“นายรู้ด้วยหรอ?”
โอโตเมะหลบตาผม หน้าเริ่มแดงขึ้นมาอีก พูดงึมงำเสียงเบาแต่พอจับใจความได้
“เพิ่งมั่นใจตอนเธอแว๊ดใส่ฉันตอนที่เราเดินมาที่นี่น่ะ”
“…ขอโทษ”
เธอขอโทษผมอีกครั้งแล้วก้มหน้างุด พอดีพนักงานเอาขนมและกาแฟที่เราสั่งไปมาเสิร์ฟ เราจึงนั่งกินกันเงียบๆ
ผมดื่มกาแฟแล้วก็นั่งดูโอโตเมะกินขนมไปด้วย เธอสั่งแพนเค้กที่ด้านบนเป็นราสเบอรี่ราดด้วยน้ำผึ้งแบบฉ่ำๆ ชนิดที่ผมถึงกับเสียวฟันเมื่อนึกถึงความหวานในจานแพนเค้กนั่น
“เธอชอบกินหวานมากเลยหรอ?”
ผมยื่นทิชชูให้โอโตเมะและถือโอกาสถามตอนที่เธอกินเสร็จแล้วกำลังดูดน้ำสตรอเบอรี่อยู่ เธอเงยหน้ามองผมสลับกับทิชชูในมือ ผมเลยเอานิ้วชี้ที่มุมปากตัวเองเพื่อให้เธอเข้าใจ
โอโตเมะปล่อยหลอดน้ำและรับทิชชูไปเช็ดปาก ท่าทางเงอะงะลนลานดูแล้วก็ตลกดี เสร็จแล้วจึงตอบคำถามของผม
“ฉันกินหวานแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ถ้าไม่กินแล้วอารมณ์จะแปรปรวน”
“แบบที่เป็นเมื่อก่อนหน้านี้”
“…ก็…ใช่…”
โอโตเมะตอบผมเสียงเบาทำเอาผมหลุดขำ เธอเห็นผมขำก็ตาโตทำท่าจะเอาเรื่อง ผมเลยชิงขอโทษไปก่อน
“ต้องเป็นแบบนั้นทุกเดือนเลยหรอ?”
“ไม่หรอก ปกติฉันจะพกลูกอมที่เอาไว้อมเฉพาะตอนนั้นเอาไว้ แต่วันนี้ตอนออกจากบ้านยังเป็นเลยไม่ได้เอามาด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้”
พูดจบก็ดูดน้ำแก้วที่ถืออยู่ต่อ ทำท่าทางน่าสงสารแต่ดูแล้วไม่น่าสงสารเท่าไร
“อาการอื่นล่ะ? ปวดท้อง? อ่อนเพลีย? ง่วงนอน?”
“หืมม… นายนี่รู้ดีจัง แต่ถามเรื่องพวกนี้กับผู้หญิงมันดูน่าขยะแขยงนะ นายไม่รู้หรอ?”
“ก็พอรู้บ้าง แต่ไม่ได้มีจิตใจคิดสกปรกอะไรนิ”
“หรอ..อืมม..ตอนนี้ก็เริ่มปวดท้องหน่อยๆแล้ว แต่อยู่ในระดับที่ทนได้”
“งั้นกลับกันเลยไหม กว่าจะถึงบ้านเธอก็เกือบชั่วโมงเลยนิ”
“อ๊ะ!! แต่ฉันยังไม่ได้ซื้อหนังสือคู่มือเลย”
“เธอไหวไหมล่ะ?”
“ไหว”
“งั้นไปกัน”
ผมกับโอโตเมะเช็คบิลแล้วจากจากร้านก่อนจะมุ่งตรงไปยังร้านหนังสือที่อยู่ในชั้นถัดไป เธอไม่ยอมให้ผมเลี้ยงจริงๆ ตามที่พูด ซึ่งผมก็ไม่ขัด เราเดินกันประมาณ 5 นาที ก็มาถึงร้านหนังสือที่หมายตาไว้
“เธออยากได้หนังสือคู่มือวิชาอะไร”
ในระหว่างที่เดินหาหนังสือกัน ผมเริ่มหาเรื่องคุยกับโอโตเมะอีกครั้งเพื่อจะได้ช่วยกันหาหนังสือ
“ฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์”
โอโตเมะตอบในขณะที่มองดูหนังสือคู่มือตรงหน้าพลิกซ้ายพลิกขวา วางแล้วก็หยิบเล่มใหม่ขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาเหมือนเดิม ผมเห็นเธอทำซ้ำๆ แบบนั้นอยู่ 3-4 เล่ม เลยเลือกหยิบคู่มือฟิสิกส์เล่มหนึ่งไปให้เธอ
“เล่มนี้ดี เธอลองดู”
เธอหยุดแล้วหันมามองหนังสือในมือผม
“ดีจริงอ่ะ นายอ่านแล้วหรอ?”
เธอรับหนังสือไปพลิกซ้ายพลิกขวา
“อืมม..”
ผมตอบคำถามของเธอ ตามองไล่รายชื่อหนังสือคู่มือฟิสิกส์ที่วางเรียงรายอยู่แถวนั้น
“น่าจะดีที่สุดแล้วถ้าเทียบกับเล่มอื่นที่อยู่ที่นี่”
เห็นโอโตเมะเงียบไปผมเลยหันกลับไปมอง เห็นเธอกำลังมองผมด้วยอยู่ ใบหน้าเธอบ่งบอกความคิดของเธอชัดเจนว่า ‘คนขี้โม้’
แทนที่จะโกรธผมกลับขำที่เธอทำหน้าตาแบบนั้น
“หึๆๆ ความคิดหลุดออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว ฉันแค่แนะนำ ไม่เชื่อก็ตามใจเธอซิ”
ผมหัวเราะแล้วเดินแยกไปตรงโซนที่วางหนังสือคู่มือคณิตศาสตร์ สักพักโอโตเมะก็เดินตามมาในมือมีหนังสือคู่มือที่ผมแนะนำไปเมื่อกี้อยู่ด้วย
“จริงอย่างที่นายว่า เล่มนี้ดูแล้วน่าจะดีกว่าเล่มอื่นจริงๆ”
โอโตเมะที่เห็นผมหันไปมองรีบออกปากเหมือนจะกลบเกลื่อนความเขินจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ผมอมยิ้มไม่ว่าอะไรและหันไปสนใจกับหนังสือคู่มือบนชั้นวางต่อ
“เธออยากได้หนังสือคู่มือแนวไหน? เน้นอ่านทำความเข้าใจ หรือเน้นทำโจทย์”
ผมหยิบหนังสือจากชั้นวางบริเวณนั้นมา 3 เล่ม แล้วยื่นให้โอโตเมะที่ยืนดูผมอยู่เงียบๆ
“พวกนี้นายก็เคยอ่านแล้วหรอ?”
โอโตเมะถามผม น้ำเสียงมีความลังเลแปลกๆ แต่เธอก็รับหนังสือจากผมไปพลิกดู
“ฉันเคยอ่านแค่ 2 เล่มนี้ ส่วนเล่มนี้ดูเนื้อหาแล้วคล้ายๆ กับเล่มนี้แต่ราคาถูกกว่า เลยหยิบมาให้เธอเลือกด้วย”
ผมอธิบายให้โอโตเมะฟัง เธอเปิดหนังสือพลิกๆ ดูเนื้อหาด้านในไปมาสักพักก็เงยหน้ามาถามผมด้วยคำถามที่รู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องกับหนังสือเรียนตรงหน้าเท่าไร
“นายเรียนเก่งหรอ?”
“…”
ผมงงกับคำถามที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้าเลยไม่ทันได้ตอบคำถามของเธอและดูเหมือนเธอจะรู้ว่าผมคิดอะไร
“ฉันแค่สงสัย ก็นายดูแล้วไม่น่าจะเป็นเด็กเนิร์ดสายเรียนที่อ่านหนังสือพวกนี้เลยนิ”
“อ่ออ..”
ผมไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมนอกจากร้อง อ่อ ออกมาคำเดียว โอโตเมะเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ดูเหมือนเธอจะรู้สึกผิดที่พูดเหมือนดูถูกผมแบบนั้น ต่างคนก็เลยต่างเงียบไม่พูดอะไร บรรยากาศระหว่างเราจึงเกิดเป็นความกระอักกระอ่วนแปลกๆขึ้น
“งั้น…ฉันเอาเล่มนี้แหละ ขอบใจนะ”
สงสัยคงทนบรรยากาศแปลกๆ ไม่ได้ โอโตเมะเลือกหนึ่งในหนังสือที่ผมแนะนำให้แล้วเดินไปที่แคชเชียร์
ผมเดินตามโอโตเมะออกมาจากร้านหนังสือบอกเธอว่าเดี๋ยวจะไปส่ง ตอนแรกเธอก็ปฏิเสธแต่พอบอกว่าคุณคาวากุจิสั่งมาเธอก็ไม่ว่าอะไรยอมให้ตามไปส่งแต่โดยดี
ระหว่างทางกลับเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย โอโตเมะเงียบและมักจะก้มหน้าอยู่ตลอด ผมคิดว่าเธอคงจะเหนื่อยหรือไม่ก็ปวดท้องจึงไม่ได้ชวนคุยอะไร แค่ขอแวะร้านสะดวกซื้อหน้าสถานีเพื่อซื้อของเล็กน้อยหลังจากนั้นเราก็เดินกันไปเงียบๆ จนถึงบ้านเธอ
“ขอบคุณที่มาส่งนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่วันนี้ฉันทำให้วุ่นวาย”
โอโตเมะหันมาพูดกับผมก่อนจะเข้าบ้าน ดูเหมือนอาการน้ำตาลตกแล้วอารมณ์แปรปรวนของเธอจะหายไปแล้ว เพราะเธอดูเป็นปกติเหมือนตอนที่เจอกันครั้งก่อนๆ แปลกไปนิดหน่อยตรงที่แววตาของเธอไม่มีความไม่เป็นมิตรอยู่ในนั้น
[‘มองฉันแบบคนธรรมดาก็เป็นนินา’]
ผมคิดในใจ แล้วก็ยื่นถุงใส่ของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อให้เธอ?
“เอ๊ะ!?”
“ถือว่าเป็นของแทนคำขอโทษที่ฉันไปโดนหนะ…โอ้ยย”
พูดไม่ทันจบผมก็ถูกโอโตเมะฟาดเข้าที่แขนดังป้าบ ความเจ็บแล่นแปรบขึ้นมาจนผมถึงกับร้องออกมา
“ไม่ต้องพูด ห้ามพูดถึงเด็ดขาด ลืมๆ ไปซะเลยด้วย”
พูดจบแล้วก็ฉวยถุงใส่ของแล้วเดินเข้าบ้านไปทั้งแบบนั้น ทิ้งให้ผมยืนลูบแขนที่ถูกตีอยู่ตรงนั้นคนเดียว
“แล้วฉันจะลืมได้ไงล่ะเนี่ย”
ผมส่ายหัวจนปัญญากับคำสั่งของโอโตเมะที่ให้ลืมเหตุการณ์ในวันนี้ไปซะ ยิ้มคนเดียวขณะเดินกลับบ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะ ภาพใบหน้าของเธอที่ขึ้นสีแดงไปจนถึงหูเมื่อกี้นี้น่าจะเป็นเพราะอายมากกว่าโกรธ เทียบกับครั้งก่อนๆ ที่เจอกัน ครั้งนี้เธอไม่มีสายตาที่ไม่เป็นมิตรอีกแล้ว แถมผมยังได้เห็นด้านใหม่ๆ ของเธออีก รวมๆ แล้วดูเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองพอสมควร แต่ก็มีด้านที่ดื้อและนิสัยเหมือนเด็กๆ แถมช่วงนั้นของเดือนยังต้องกินของหวานๆ ไม่งั้นอารมณ์จะแปรปรวนด้วย เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ
“หวังว่าจะชอบของแทนคำขอโทษที่ให้ไปละนะ”
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาแต่ยังคงส่องแสงแรงกล้าแผดเผาทุกสรรพสิ่ง แม้จะเวลาจะล่วงเลย 4 โมงเย็นไปแล้ว แต่อุณหภูมิดูเหมือนจะไม่ลดลงเลย ผมเดินฝ่าแสงอาทิตย์มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟด้วยอารมณ์ที่รู้สึกว่าแจ่มใสกว่าตอนที่ออกมาจากบ้านเมื่อช่วงสายเสียอีก