“อื้อออ…”
เช้านี้ฉันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย ไม่ค่อยแน่ในนักว่าตัวเองปวดถ่ายหนักหรือปวดประจำเดือน
เหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าเพิ่งจะ 6 โมงเช้า รู้สึกว่าเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ไม่สดชื่นเอาเสียเลย ฉันลุกจากที่นอนแล้วเดินออกไปยังห้องน้ำในสภาพสะลึมสะลือหัวฟู อ้าปากกว้างหาวแบบไม่เกรงใจใคร
“ทำไมวันนี้ตื่นเช้าได้ล่ะหือ?”
พี่สาวที่นั่งกินอาหารเช้าอยู่เอ่ยทักฉันขึ้นมา
“พี่ต่างหากที่ตื่นเช้า..หือ…วันนี้ไม่ได้หยุดหรอ?”
พี่สาวฉันอยู่ในชุดกระโปรง เชิ้ตขาว มีเสื้อสูทพาดอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ บนโต๊ะมีแก้วกาแฟกับจานเปล่าวางอยู่
“อืมม…ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะ สิ้นเดือนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดด้วยเหมือนทุกทีนะ”
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ฉันไม่ใช่เด็กแล้วน่า พี่นี่ทำเหมือนฉันเป็นเด็กน้อยทุกที”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็ใจหายนิดหน่อยที่ปีนี้พี่อาจจะไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดครบรอบ 16 ปี ของตัวเอง ที่ผ่านมาครอบครัวให้ความสำคัญกับวันแบบนี้มากเพราะนอกจากจะเป็นวันคล้ายวันเกิดแล้วยังเป็นวันครอบครัวที่พวกเราพี่น้องจะขอบคุณพ่อกับแม่ที่เลี้ยงเรามาอีกด้วย
“นี่ พี่ เราจะย้ายออกวันไหนกันหรอ?”
ฉันถามพี่สาวที่เตรียมตัวจะออกไปทำงาน ใจจริงก็รู้สึกยินดีที่พี่ได้เลื่อนตำแหน่งแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย
พี่สาวที่กำลังใส่รองเท้าส่งเสียงอืมเหมือนยังไม่แน่ใจ
“ก็ช่วงสัปดาห์หน้าแหละ คงจะประมาณวันพุธหรือวันพฤหัสบดีละมั้ง พี่ยังไม่แน่ใจเลย ต้องรอดูว่าจะสลับวันหยุดได้ตรงกับวันไหน”
แล้วพี่ก็ออกจากบ้านไป แถมเปิดประตูออกไปยังบอกเพิ่มอีกว่าสุดสัปดาห์หน้าให้เตรียมขนของที่ไม่จำเป็นกลับบ้านได้แล้ว
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ และเดินไปเข้าห้องน้ำตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก บรรยากาศยามเช้าวันอาทิตย์ที่ดูแล้วน่าจะสดใสกลับเงียบวังเวงจนรู้สึกแปลกๆ
เมื่อก่อนฉันจะตื่นสายในวันหยุดแบบนี้ ตื่นมาก็จะเจอพี่ หรือถ้าอยู่บ้านก็จะเจอพ่อกับแม่ เราจะใช้เวลาร่วมกันในวันหยุดซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากสำหรับฉัน
แต่ตอนนี้พี่เริ่มทำงานหนักมากขึ้น เวลาที่อยู่ด้วยกันก็ลดลง พ่อกับแม่เองก็ไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนสอบกลางภาค
“เฮ้ออ…อยู่คนเดียวนี่มันเงียบเหงาจริงๆ นั่นแหละนะ ชวนเซริไปเที่ยวดีกว่า”
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า สองขาพาตัวเองเข้าห้องน้ำทันที หลังจากนั้นก็…
“เซริ…ฉันปวดท้องงงงง….”
หลังจากอาบน้ำแปรงฟัน และทำของกินง่ายๆ ตอนนี้ฉันก็กำลังนอนปวดท้องโอดโอยอยู่ในห้องคนเดียว
“ไม่ได้ปวดมากถึงขนาดทนไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากไปไหนเลย อื้มม…ขอโทษทีนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะชดเชยให้…ขอบคุณน๊า…รักเซริที่สุดเลยยยย…จุ๊ฟๆ …อื้มๆๆ …บาย”
ฉันวางสายจากเพื่อนสาวคนสนิท ทั้งขอโทษที่เป็นฝ่ายนัดเขาแต่ไปตามนัดไม่ได้และขอบคุณที่เพื่อนเข้าใจในความลำบากของฉัน
ฉันพลิกตัวนอนตะแคงอยู่บนที่นอน อาการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยรุนแรงขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาชนิดเป็นหนังคนละม้วน ฉันไม่มั่นใจว่าตัวเองไปทำอะไรผิดปกติมาหรือเปล่าเพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้มีอาการปวดรุนแรงขนาดนี้ ปกติแค่จะปวดหน่วงนิดๆ หน่อยๆ แต่ครั้งนี้อาการปวดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังอาบน้ำกินข้าวแล้วก็ปวดจนเหงื่อซึมออกหน้าผาก ต้องมานอนตัวงออยู่บนเตียงแบบนี้
“หวังว่าจะปวดไม่นานนะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่หายละยุ่งแน่ๆ”
บ่นพึมพำอยู่คนเดียว มือนึงกุมถุงประคบร้อนไว้ที่ท้องตัวเองที่ปวดไม่หาย อีกมือเอื้อมไปหยิบกระติกน้ำร้อนที่ชงน้ำขิงใส่ไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาจิบ น้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงร้อนๆ ไหลผ่านลำคอลงไปสู่กระเพาะอาหาร คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งท้อง ความร้อนนั้นดูเหมือนจะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ ส่วนความหวานก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ฟู่….
ฉันระบายลมหายใจออกมาหลังจิบน้ำขิงเขาไปได้หลายอึก มองกระติกน้ำร้อนในมือแล้วก็นึกขอบคุณคนที่ซื้อน้ำขิงกับน้ำตาลทรายแดงมาให้เมื่อวาน ทั้งที่โดนฉันอาละวาดใส่ไปตั้งขนาดนั้นแต่ก็ยังอุตส่าห์คิดเผื่อและซื้อของแบบนี้มาให้
ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าใช่ผู้ชายที่เอาใจใส่ใครเป็นแท้ๆ แต่ทั้งวิธีการรับมือกับฉันที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เมื่อวาน วิธีการง้อหรือขอโทษผู้หญิง รวมถึงการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง ต้องบอกเลยว่านายอาคิยามะคนนี้ช่ำชองไม่น้อย
“แต่บางทีก็พูดตรงไปหน่อย ไม่ค่อยจะเกรงใจกันเลยตาบ้าเอ้ย”
ถึงปากจะบ่นตาบ้าอาคิยามะ แต่ใจจริงก็คิดว่าถ้าเจอกันคราวหน้าคงต้องขอบคุณกันให้จริงๆ จังๆ ทั้งเรื่องน้ำขิงและเรื่องหนังสือเรียนที่เขาแนะนำ ต้องยอมรับเลยว่าครั้งนี้ได้เขาช่วยไว้เยอะเลย
“ถึงจะเปลืองตัวไปหน่อยก็เหอะ”
แล้วความอายก็แผ่ขยายไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง
“ฮึ…คนลามก”
—
เที่ยงตรง ฉันงัวเงียลุกขึ้นนั่งบนที่นอนเป็นรอบที่ 2 ของวัน อาการปวดท้องดูแล้วดีขึ้นเยอะกว่าก่อนที่จะหลับไปมากแต่ก็ยังปวดหนึบสร้างความรำคาญให้อยู่ เฮ้อออ…ทำไมผู้หญิงต้องมาทนทรมานกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ
ฉันลุกออกจากห้องนอนเพื่อไปล้างหน้าล้างตาและหาอาหารเที่ยงลงท้องที่เริ่มจะประท้วงขออาหาร
ระหว่างที่ทำของกินง่ายๆ ฉันก็เปิดโทรทัศน์ฟังเสียงรายการข่าวไปด้วย เหมือนจะเป็นข่าวนักเรียนถูกทำร้ายระหว่างกลับบ้านและยังจับคนร้ายไม่ได้
ฉันวางจานอาหารที่อุ่นแล้วลงบนโต๊ะ ตั้งใจว่ากินเสร็จแล้วจะเตรียมบทเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้สักหน่อย กินไปดูโทรทัศน์ไปกำลังเพลินๆ โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงขึ้นมา ก้มหน้ามองก็เห็นเป็นชื่อที่คุ้นเคย
กดรับสายแล้วเปิดลำโพงเพราะไม่อยากถือโทรศัพท์ไปกินข้าวเที่ยงไป
“อามายะ!! เมื่อวานเธอไปไหนมา?”
ไม่ทันที่จะพูดอะไรอีกฝั่งหนึ่งของสายก็ใส่อารมณ์มาเต็ม ฉันที่กำลังมองดูรายการโทรทัศน์อยู่ถึงกับสะดุ้ง
“หะ? อะไร? เมื่อวาน? เมื่อวานตอนไหน?”
เพราะอยู่ดีๆ ก็ถูกเพื่อนรักยิงคำถามใส่ ฉันที่กำลังกินข้าวเที่ยงยังไม่เสร็จดีจึงเงอะงะๆ คิดอะไรตามไม่ค่อยทัน
“มีคนเห็นว่าเมื่อวานเธอไปเดตกับนิโนะมิยะคุงที่ห้างบันโชว แถมมีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน เรื่องราวมันเป็นมายังไง เล่ามาซิ”
หา? ไปเดต? กับนิโนะมิยะ? ฉันหรอ?
ฉันเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรเซริกลับไป ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้หรือไม่กล้าตอบ แต่กำลังสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่เพื่อนเล่ามานั้นใช่ฉันจริงๆ หรอ
“เดี๋ยวนะเซริ ฉันงง เธอว่าใครไปเดตกับนิโนะมิยะคุงนะ?”
“ก็เธอไง ในรูปเห็นหน้าเธอชัดเจนขนาดนั้น ฉันจำไม่ผิดหรอก”
“ห๊ะ? ฉันเนี่ยนะ? ฉันจะไปเดตกับนิโนะมิยะคุงตอนไหนกัน?”
“ฉันก็ถึงได้ถามเธออยู่นี่ไงว่าเมื่อวานเธอไปเดตมาใช่ไหม?”
“ใช่ก็บ้าแล้วย่ะ!!”
งงกันอยู่สักพักสุดท้ายฉันก็เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสาวพูด รายละเอียดชัดเจนยังไม่ค่อยรู้เท่าไร แต่ที่แน่ๆ มีคนใส่ไฟว่าฉันไปเดตกับนิโนะมิยะคุงมาเมื่อวาน หลักฐานคือรูปฉันที่กำลังนั่งอยู่ในร้านขนมกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งในภาพเห็นเพียงด้านหลังเท่านั้นแต่ไหงข่าวลือถึงได้บอกว่านั่นคือนิโนะมิยะไปได้นะ
ฉันมองดูรูปถ่ายที่เซริส่งมาข้อความแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าคนอื่นจะดูไม่ออกจริงๆ หรอว่านี่ไม่ใช่นิโนะมิยะ
“เซริ นี่เธอก็เห็นหมอนี่เป็นนิโนะมิยะคุงด้วยหรอ?”
ฉันถามความเห็นของเพื่อนรักผู้ที่น่าจะเข้าใจฉันมากที่สุดในโรงเรียนและเป็นผู้แจ้งข่าวนี้ให้ฉันรู้
“ถ้ามองผ่านๆ ไม่คิดอะไรเลย ก็คล้ายอยู่นะ”
“เอ๊ะ? …พูดจริงดิ? นิโนะมิยะคุงหล่อกว่าหมอนี่เยอะเลยนะ”
“หืมมม…นิโนะมิยะหล่อกว่าจริงๆ หรอออ~”
“อืมมม…ถ้าเอาแค่หน้าตาเทียบกันแล้วนิโนะมิยะคุงหล่อกว่าจริงๆ นั่นแหละ…”
“ฮิๆๆๆ …”
“เอ๊ะ? …”
“ฮ่าๆๆ …”
“นี่เธอหลอกถามฉันเรอะ เดี๋ยวเถอะน่ายัยนี่”
“ฮ่าๆ”
ฟังเสียงหัวเราะของเพื่อนสาวแล้วฉันก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย รู้อยู่แล้วว่าเซริชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ชอบจิ้นโน่นนี่ไปเรื่อย ครั้งนี้ถือว่าพลาดเองที่เปิดช่องโหว่ให้ยัยนี่แกล้งแหย่เอาได้
ฉันมองรูปในโทรศัพท์อีกครั้ง ภาพที่เห็นก็มีแค่ฉันนั่งอยู่ในร้านขนมกับผู้ชายคนหนึ่ง มุมที่ถ่ายก็เห็นแค่หน้าฉันคนเดียว ส่วนตัวผู้ชายเห็นแค่ด้านหลัง
[‘มองยังไงให้เป็นนิโนะมิยะล่ะเนี่ย ทรงผมก็ไม่ใช่ สีผิวก็ไม่ใช่ ตัวก็สูงกว่า แทนที่จะบอกว่าเป็นหนุ่มหล่อแบบนิโนะมิยะ บอกว่าเป็นหนุ่มทรงแบดๆ ยังจะดูเข้ากว่า’]
“อามายะ? อามายะ…”
“อะ…อื้ม…”
เผลอคิดเพลินไปหน่อยจนไม่ได้ตั้งใจฟังที่เซริพูด เอ…เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ
“นี่เธอกังวลอยู่หรอ? มันก็น่ากังวลจริงๆ นั่นแหละนะ ตอนนี้ไม่รู้ข่าวลือไปถึงไหน แล้วลือกันไปแบบไหนบ้าง”
น้ำเสียงของเซริฟังดูกังวล ฉันคิดว่าเธออาจจะกังวลเรื่องนี้มากกว่าฉันซะอีก
“แล้วนิโนะมิยะคุงรู้ข่าวนี้ไหม?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทั้งฉันทั้งนิโนะมิยะคุงไปแก้ข่าวก็คงไม่มีอะไรแล้ว ยังไงก็ไม่มีอะไรในกอไผ่อยู่แล้ว”
ปากบอกเพื่อนไปแบบนั้นแต่ในใจฉันเองก็กังวลไม่น้อย ถ้าคิดกันตามหลักความเป็นจริงแล้วคนที่ถ่ายรูปจะต้องรู้จักฉันและนิโนะมิยะ รู้ว่าฉันกับเขามีความสัมพันธ์แบบไหน รู้ว่าถ้าปล่อยข่าวลือไปแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา
“ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือกันนะ พวกฮิบิซึหรอ? หรือคนอื่นที่ต้องการให้ฮึบิซึมาหาเรื่องฉันอีก”
ฉันพึมพำคนเดียวหลังจากวางสายเซริไป สายตาจ้องมองรูปในโทรศัพท์ที่เซริส่งมาให้พลางคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ที่อาจเกิดขึ้นได้
ข้าวเที่ยงตรงหน้าหมดไปแล้ว ฉันเลิกคิดถึงเรื่องวุ่นวายที่อาจจะต้องเจอเมื่อไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ ถือจานไปล้างแล้วถือโอกาสชงน้ำขิงมาดื่มด้วยเลย
อา…พูดถึงน้ำขิงแล้วก็นึกถึงคนที่ให้มา นายจะรู้บ้างไหมว่าตอนนี้รูปนายกับฉันกำลังกลายเป็นข่าวลือผิดๆ อยู่ที่โรงเรียนของฉันตอนนี้
ส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป มือถือแก้วน้ำขิงที่ใส่น้ำตาลเยอะพิเศษมานั่งที่ห้องนั่งเล่น ตรงหน้าเป็นหนังสือเรียนที่ขนออกมาตั้งแต่ก่อนกินข้าว ฉันวางแก้วลงแล้วจึงหย่อนก้นนั่งลงตาม เลือกหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ที่เพิ่งได้มาใหม่เมื่อวานขึ้นมาทบทวนบทเรียนแต่ก็ไม่เข้าหัวสักนิด
ฮืออ…ปวดท้อง…