ฉันออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ไม่ใช่เพราะขยันหรือกระตือรือร้นอยากที่จะไปโรงเรียนเช้าตามแบบฉบับนักเรียนดีเด่นแต่เป็นเพราะเมื่อคืนนี้นัดกับเซริไว้

           พรุ่งนี้ไปเช้าหน่อยนะ ฉันรู้สึกว่ามันจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

           เซริพูดแบบนั้นในตอนที่เราคุยโทรศัพท์กันและฉันก็เห็นด้วยกับเธอ ส่วนที่ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นนั้น 8 ใน 10 ฉันเดาว่าไม่ใช่เรื่องดี

           แล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ

           เริ่มจากตู้ล็อกเกอร์ที่มีจดหมายเนื้อความในบอกให้เลิกยุ่งกันนิโนะมิยะ อา…ฉันล่ะเพลียใจจริงๆ

           ต่อมาก็เป็นสายตาที่มีทั้งแบบแอบมองมาและแบบมองจ้องกันตรงๆ เป็นสายตาที่ให้ความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งสงสัย รังเกียจ อิจฉา และโกรธแค้น?

           เอ๊ะ? ใช่หรือเปล่านะ? แต่จะมาโกรธแค้นอะไรฉันเล่า ประหลาด…

           สุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่รู้กระซิบกันยังไงถึงได้ยินชัดขนาดนี้ ฉันกับเซริถึงกับต้องมองบนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

           เฮ้อออ…

           แต่ถึงเหตุการณ์ต่างๆ จะถาโถมเข้ามามากมายขนาดไหนก็ไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจเรียนของฉันลงได้…

           ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจเรียนหรอก

           ก็บรรดาอาจารย์ในโรงเรียนฮิบิยะที่ถือคติว่าไม่เข้มข้นเราไม่พอแล้วก็จัดหนักจัดเต็มการเรียนการสอนให้นักเรียน นั่นจึงทำให้ฉันต้องขยันตามอาจารย์ไปด้วย

           ต้องขยันเรียนท่ามกลางสายตาและเสียงกระซิบกระซาบ…

           แล้ววันนี้ทั้งวันก็ผ่านไป ผ่านไปแบบอึดอัดใจขั้นสุด ฉันล่ะอยากจะไปยืมไมค์ที่ห้องกระจายเสียงแล้วร้องตะโกนออกไปดังๆ ว่า

           อยากรู้อะไรให้มาถามโว้ยยย…

           แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ แถมพูดคำหยาบคายแบบนั้นเสียภาพลักษณ์กุลสตรีที่ดีงามหมด ทำได้แค่อดทนแล้วก็มองไปที่มุมหนึ่งของห้อง

           คนในข่าวลืออีกคนนั่งอยู่ตรงนั้น นิโนะมิยะ เรียว หนุ่มหล่อผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่อยู่ๆ ก็ต้องมามีข่าวลือแปลกๆ กับฉันอีก แต่ดูท่าแล้วเขาจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนอกจากตอบคำถามของคนบางคนเป็นครั้งคราว มองแล้วก็รู้สึกว่าโลกช่างไม่ยุติธรรมกับฉันเลย แต่ฉันก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้หรอกเพราะเขาเองก็ถือว่าเป็นผู้เสียหายเหมือนกัน

           โชคดีของฉันที่นิโนะมิยะพยายามอธิบายความจริงให้ทุกคนที่กล้าเข้ามาถามเรื่องราวฟัง ทำบรรดาสาวๆ ในห้องกว่าครึ่งพากันถอนหายใจ แต่ก็ยังไม่วายหันมามองฉันด้วยสายตาอาฆาต

           ทำไมต้องมองแบบนั้น ฉันผิดอะไร ฮือออ…

           ฉันเลิกสนใจคนในห้องและเก็บกระเป๋าลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหาเซริ

           “ฉันไปก่อนนะ หมดงานแล้วจะเลี้ยงขนมนะ” 

           “งานสภานักเรียนมีหมดด้วยหรือไง” 

           “มันก็ไม่ได้ทำคนเดียวซะหน่อย” 

           “กะโดดงานว่างั้น” 

           “ใครจะไปทำอะไรน่ารังเกียจแบบนั้น” 

           “หรอออ~” 

           ฉันกับเซริต่อล้อต่อเถียงกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง

           สัปดาห์หน้าเป็นงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่เป็นงานเทศกาลของเมือง และโรงเรียนฮิบิยะก็ส่งนักเรียนเข้าร่วมแสดงในงานเทศกาลนี้ แต่เพราะมีนักเรียนสนใจลงสมัครเข้าร่วมเกินโควตา ทำให้ในสัปดาห์นี้จะมีการคัดเลือกรอบสุดท้ายกันในวันพุธ

           ภาระจึงมาตกอยู่ที่ทีมสภานักเรียนที่วิ่งวุ่นกันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตเพื่อจัดการเรื่องการคัดตัวแทนและดำเนินการประสานงานส่งรายชื่อการแสดงให้ฝ่ายจัดงานของเมืองภายในวันพฤหัสบดี

           ตัวฉันที่ทำหน้าที่ประสานงานและประชาสัมพันธ์ก็วุ่นวายซะจนลืมเวลาไปเลย

           “คุณโอโตเมะ เอ่ออ…ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมคะ?” 

           จู่ๆ คุณทาเคโนะอุจิก็ร้องทักขึ้นมาตอนที่ฉันกำลังจะเก็บของกลับบ้าน

           ทาเคโนะอุจิ ยูบิ หนึ่งในเทพธิดาประจำโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะแห่งนี้ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องบอกว่างามงดหยดย้อยตามแบบฉบับกุลสตรีญี่ปุ่นบวกกับนิสัยที่ดูเงียบๆ นิ่งๆ ทำให้หลายๆ คนยกให้เธอเป็นเทพธิดาสุดคูลประจำโรงเรียนไปเป็นที่เรียบร้อย

           “ได้ซิ คุณทาเคโนะอุจิมีธุระอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?” 

           ฉันหันไปตอบคุณทาเคโนะอุจิ แต่มือยังคงเก็บของไปด้วย รู้ว่ามันดูไม่ค่อยมีมารยาท แต่ฉันรู้ว่าคุณทาเคโนะอุจิจะไม่ถือเรื่องแบบนี้นัก

           ที่จริงฉันกับคุณทาเคโนะอุจิเราค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควรเลย ด้วยความที่ว่าเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกันแล้วก็ทำงานด้วยกันบ่อยๆ เลยรู้ว่าที่จริงแล้วเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่บางทีก็แอบโก๊ะ แอบติ๊งต๊อง แล้วก็ชอบอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกับฉันด้วย

           “คือออ…เมื่อวันเสาร์คุณโอโตเมะไปเดตมาหรอ?” 

           “เอ๊ะ?!…คุณทาเคโนะอุจิก็เชื่อข่าวลือนั่นด้วยหรอ?” 

           ฉันเผลอร้องเสียงดังจนคนในห้องมองมา อา…น่าขายหน้าชะมัด หลังขอโทษคนอื่นๆ ในห้องแล้วก็หันกลับมาคุยกับคุณทาเคโนะอุจิต่อ

           “ขอโทษนะคุณทาเคโนะอุจิ แต่ฉันเจอคนถามเรื่องนี้มาทั้งวันแล้ว อธิบายจนเหนื่อยแล้วล่ะ” 

           “เอ่อออ…คือ ไม่ใช่ข่าวลือหรอกค่ะ คือฉันเห็นคุณที่ร้านหนังสือน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาทมาถามอะไรแบบนี้” 

           คุณทาเคโนะอุจิก้มหัวขอโทษฉันปลกๆ ดูแล้วเป็นภาพที่เหมือนกับตัวร้ายกำลังข่มเหงนางเอกยังไงยังงั้น เลยต้องรีบพูดอธิบายเพื่อหยุดฉากนางร้ายของตัวเอง

           “ไม่ได้ไปเดตอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันไปกับรุ่นพี่คาวากุจิแต่เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยเลยแยกกัน ฉันเลยไปซื้อหนังสือกับรุ่นน้องของแฟนของรุ่นพี่คาวากุจิน่ะ” 

           อธิบายเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าคำอธิบายมันไม่ได้แตกต่างจากที่อธิบายให้คนอื่นๆ ฟังสักเท่าไร เปลี่ยนจากร้านขนมเป็นร้านหนังสือก็เท่านั้น

           เฮ้อ…เหนื่อยใจแท้

           แอบถอนหายใจแล้วก็สงสัย

           [‘ทำไมคุณทาเคโนะอุจิถึงถามล่ะ? เธอไม่น่าจะอยากรู้ชีวิตความรักของฉันเหมือนเซรินินา’] 

           พอฉุกคิดขึ้นมา สายตาก็เหลือบมองคุณทาเคโนอุจิทันที เอ๊ะ?

           [‘เธอถอนหายใจ?’] 

           คิดว่าเมื่อกี้ตัวเองไม่ได้มองผิดไป แวบนึงคุณทาเคโนะอุจิถอนหายใจเหมือนโล่งอกแต่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเทพธิดาเหมือนเดิม

           “ขอบคุณที่ตอบตามตรงนะคะคุณโอโตเมะ แล้วก็ขอโทษอีกครั้งที่เสียมารยาท” 

           “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรด้วย…” 

           พูดไม่ทันจบโทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นซะก่อน คุณทาเคโนะอุจิที่เห็นแบบนั้นก็ชิงพูดขอตัวกลับไป ฉันเลยยังไม่ทันได้ถามสิ่งที่สงสัยอยู่

           “อามายะ เสร็จหรือยัง พวกเรารออยู่ข้างล่างแล้ว” 

           เสียงของเซริดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ในมือ ฉันตอบรับเออออแล้ววางสาย รีบเก็บของเก็บของแล้วลงไปยังจุดนัดหมายที่เซริบอก

           แล้วก็เจอเซอร์ไพรส์ เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มผู้มีข่าวลือกับฉัน นิโนะมิยะ เรียว

           [‘กลับพร้อมนิโนะมิยะแบบนี้ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง’] 

           ฉันหยุดเท้านิดนึง ปลุกปลอบตัวเองพร้อมกับหยิบลูกอมเข้าปากไปอีกเม็ดแล้วเดินเข้าไปหาทุกคน เซริที่หันมาเห็นฉันโบกมือทักทายส่งเสียงเรียก เพื่อนๆ ในกลุ่มกล่าวทักทายกันเล็กน้อยแล้วเราก็เดินออกจากโรงเรียนไปพร้อมกัน ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าพรุ่งนี้คงไม่มีข่าวลืออะไรแปลกๆ ออกมาให้ปวดหัวอีก

                                                                  —

           ในที่สุดการเตรียมงานวันสุดท้ายก็เสร็จสิ้นลง พรุ่งนี้จะเป็นวันงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่ทำเอาฉันและคนในสภานักเรียนวุ่นวายกันทั้งสัปดาห์

           ฉันมองนาฬิกาแล้วมองท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปหมดแล้ว คงจะเหลืออยู่แค่สภานักเรียนกับพวกบ้าชมรมอีกไม่กี่คน

           สำหรับฉันแล้วสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์ที่ยุ่งเหยิงมากที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะแห่งนี้ เอาจริงๆ มันยุ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ฉันเป็นนักเรียนมา

           ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการเตรียมงานเพื่อคัดเลือกตัวแทนโรงเรียนเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนหรือปัญหาจากข่าวลือที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนดังของระดับชั้นในชั่วข้ามคืน

           สิ่งที่พอจะปลอบประโลมใจฉันได้บ้างก็คือนอกจากวันแรกของสัปดาห์ที่มาโรงเรียนแล้ว วันอื่นๆ ความสนใจในตัวฉันก็ได้ลดลงไปตามวันและเวลา ที่สำคัญเลยคือไม่มีใครมาสร้างความเดือดร้อนให้ฉันกับเพื่อนๆ ซึ่งอันนี้ก็ต้องขอบคุณมาก

           นอกจากนี้การคัดเลือกตัวแทนโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมเทศกาลดนตรีฤดูฝนก็ผ่านไปด้วยดี วงของนิโนะมิยะเองก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของโรงเรียนด้วยเช่นกัน รู้สึกว่าคนในวงจะเป็นพวกรุ่นพี่ในชมรมดนตรีที่มาขอให้นิโนะมิยะเป็นนักร้องนำให้เพื่อจะได้คะแนนโหวตจากบรรดาสาวๆ เพื่อให้วงของตนได้เป็นตัวแทนไปร่วมการแสดง ก็ถือว่าพวกเขาประสบความสำเร็จล่ะนะ

           18.05 น.

           ฉันเปลี่ยนรองเท้าที่ล็อกเกอร์เป็นรองเท้านักเรียนแล้วเดินออกจากโรงเรียนที่ตอนนี้เงียบเชียบราวกับว่ามีฉันเพียงคนเดียวที่ยังไม่กลับบ้าน

           แสงไฟจากหลอดไฟบนเสาไฟข้างถนนส่องแสงสว่างแม้ท้องฟ้าจะยังไม่มืดดี

           “ยังไม่ทันมืด ไหงรู้สึกวังเวงแบบนี้ล่ะเนี่ย” 

           รอบข้างไร้เสียงยานยนต์หรือผู้คนที่สัญจรไปมาให้ความรู้สึกวังเวงแปลกๆ

           ฉันก้าวเร็วกว่าปกตินิดหน่อยเพราะไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ยังไงถึงบ้านไวหน่อยก็ดีเหมือนกัน

           “แล้วคืนนี้จะทำอะไรกินดี พี่ก็น่าจะกลับดึกหรืออาจไม่กลับเหมือนคืนก่อน อืมมม…ส่งข้อความมาบอกไว้มั่งไหมนะ?” 

           ฉันเดินจ้ำอ้าว พึมพำไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความ

           …ไม่มีข้อความอะไรแฮะ

           หน้าจอโทรศัพท์ว่างเปล่าไม่มีกล่องข้อความแจ้งเตือนใดๆ ค้างอยู่

           “หรือว่าจะกลับนะ? …” 

           ฉันเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่คิดอะไรมากมาย แต่พอพ้นหัวโค้งถนนและมองเห็นบ้านตัวเองชัดเจน สมองของฉันก็เหมือนจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ

           หน้าบ้าน…มีคนมุงอยู่เต็มไปหมด

           ลางสังหรณ์เลวร้ายปกคลุมหัวใจจนรู้สึกเหมือนมีใครมากดทับที่หน้าอก สมองคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแบบไม่ต้องสั่งการ มือเย็นเยียบ ขาก้าวไม่ออก…

           “ยืนเหม่ออะไร ไปเร็ว!!” 

           “อ๊ะ!? เอ๊ะ??” 

           จู่ๆ ก็ถูกทัก ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอเห็นคนที่ทักวิ่งนำหน้าไปความแปลกใจก็เข้ามาแทนที่

           ฉันอึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนจะได้สติและรีบวิ่งตามเด็กผู้ชายตรงหน้าไป

           เป้าหมายคือบ้านของตัวเอง

           แฮ่กกๆๆ …

           [‘หนะ…เหนื่อย ทำไมหมอนี่วิ่งไวนักนะ’] 

           เห็นเขาแหวกคนที่ยืนมุงดูเขาไป ฉันวิ่งตรงเข้าไปที่จุดนั้น ไปหยุดยืนหอบหายใจข้างๆ เขา อยากจะถามว่านายมาได้ยังไง แต่คงต้องเอาไว้ก่อน

           “อ๊ะ!? พี่…เกิดอะไรขึ้นคะ? เอ๊ะ?? …รุ่นพี่ก็อยู่ด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน?” 

           ภาพตรงหน้าสร้างความสับสนให้ฉันจนจับต้นชนปลายไม่ถูก การที่เห็นพี่ปลอดภัยทำให้ฉันโล่งใจก็จริง แต่การที่มีตำรวจอยู่ที่นี่ด้วยก็สร้างความไม่สบายใจใหม่ให้ฉันด้วยเหมือนกัน

           “ขอโทษทีนะอามายะ เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” 

           “อ๊ะ? ค่ะ?” 

           ฉันเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับพี่สาวและตำรวจคนนั้น ตอนที่เดินผ่านรุ่นพี่คาวากุจิ เธอยิ้มให้ฉันเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

           หลังเข้าในบ้านพี่สาวเชิญให้คุณตำรวจนั่งที่ห้องรับแขกก่อนจะชงชามาให้ จากนั้นจึงมานั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะพร้อมกับฉันเพื่อให้การกับตำรวจ

           แล้วเรื่องราวที่ในชีวิตฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ประสบพบเจอก็ออกมาจากปากของพี่สาว

           เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่พี่สาวได้รับการติดต่อจากรุ่นพี่คาวากุจิว่าเห็นคนแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้วางใจมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ หน้าบ้านเมื่อคืนก่อน คนที่เห็นคือนายอาคิยามะ เออิชิ รุ่นน้องคุณนาคาจิมะแฟนหนุ่มของรุ่นพี่

           ที่จริงเรื่องคนแปลกหน้านี้รุ่นพี่เองก็เตือนๆ ฉันเหมือนกัน แต่ฉันเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนที่เห็นคือหมอนั่น

           “…จนเมื่อสักราวๆ 3 โมงเย็นน่าจะได้ ทางมินามิติดต่อมา…” 

           พี่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ตำรวจฟัง ส่วนฉันนั่งอยู่ข้างๆ ฟังเรื่องราวในส่วนที่ตนยังไม่รู้และนำมาปะติดปะต่อเข้ากับสิ่งที่รู้ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่า

           ที่บ้านถูกคนแปลกหน้าสองคนแอบเข้ามาติดตั้งกล้องแอบถ่ายตามจุดต่างๆ ของบ้าน และพยายามจะหาทางเข้าบ้านแต่ถูกพี่และพวกรุ่นพี่พาตำรวจมาจับได้ซะก่อน

           ส่วนสาเหตุที่พี่และพวกรุ่นพี่พาตำรวจมาจับได้ทันนั้นก็เป็นแผนของพวกพี่ที่วางไว้แต่แรก โดยได้มีการติดต่อประสานกับทางตำรวจตั้งแต่เจอคนน่าสงสัยท่าทางมีพิรุธตามที่ได้รับคำเตือนจากรุ่นพี่คาวากุจิ

           แต่ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเหตุเข้าใจผิด ตำรวจจะไม่ดำเนินการใดๆ นอกจากเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราจนกว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจน รุ่นพี่คาวากุจิจึงเสนอแผนให้พี่สาวทำเป็นไม่กลับบ้านติดต่อกัน และให้อาคิยามะมาคอยเฝ้าฉันตอนกลับบ้าน ส่วนรุ่นพี่กับแฟนจะคอยเฝ้าและสังเกตผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมาอีกครั้ง

           ผลที่ได้ก็คือวันต่อมาคนร้ายก็กลับมาอีกจริงๆ และถูกจับได้ในที่สุด

           หนัง!! นี่มันหนังเกรดบีชัดๆ

           สิ่งพี่สาวและพวกรุ่นพี่เล่ามานั้นฟังยังไงๆ มันก็พล็อตหนังเกรดบีที่พวกตัวเอกวางแผนจับคนร้ายแล้วคนร้ายก็โง่มาให้จับจริงๆ ด้วย

           ไม่นึกไม่ฝันว่าในชีวิตจริงจะเจออะไรแบบนี้ด้วย

           แม้แต่ตำรวจเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ได้ยินนัก เขาพยายามถามโน่นถามนี่แต่ทุกคนก็ตอบเหมือนกันหมด ตำรวจเลยต้องยอมทำใจให้เชื่อไปตามนั้น

           การสอบปากคำดำเนินไปจนถึงราวๆ 2 ทุ่มจึงเสร็จ กินเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง

           รุ่นพี่คาวากุจิขอตัวกลับโดยมีคุณนาคาจิมะไปส่ง ส่วนพี่สาวหลังจากส่งทุกคนกลับแล้วก็เข้าห้องน้ำไปแช่น้ำร้อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           [‘ไม่ต้องรายงานพ่อกับแม่นะ พี่ไม่อยากให้ท่านกังวล ยังไงอีกสองสัปดาห์ก็จะย้ายออกแล้ว’] 

           พี่พูดกับฉันก่อนจะเข้าไปแช่น้ำ แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องที่ไม่ให้รายงาน แต่ก็ยอมรับว่าตัวเองไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นกังวล

           คิดใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่บอกพ่อกับแม่ แต่ตัดสินใจจะบอกกับเซริแทน

           ไม่รอช้า ฉันคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาวิดีโอคอลหาเพื่อนรักทันที

           หน้าจอแสดงภาพการรอสายเป็นรูปโปรไฟล์ของเซริที่ถูกถ่ายจากด้านหลัง คิดว่าแฟนของเธอที่เธอเรียกว่าโยจังน่าจะเป็นคนถ่ายให้

           ไม่นานนักอีกฝั่งก็รับสาย ภาพหน้าของเซริที่อยู่ในชุดดคลุมอาบน้ำบนหัวมีผ้าขนหนูพันไว้ ปอยผมที่ปรกหน้ามีหยดน้ำเกาะอยู่ ดูแล้วเซ็กซี่นิดๆ พนันพันเยนเลยว่าถ้าฉันถ่ายรูปเธอตอนนี้ไปขาย หนุ่มๆ ในห้องต้องอยากได้กันแน่ๆ

           “ว่างายยยย…” 

           เซริทักทายผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ฉันทักทายเธอกลับและเข้าประเด็นทันทีแบบไม่มีเสียเวลา

           “…เรื่องมันเป็นอย่างนี้…” 

           แล้วการเมาส์มอยเรื่องราวที่ราวกับหนังเกรดบีที่เพิ่งเกิดขึ้นที่บ้านของฉันกับเซริก็เริ่มขึ้น คนนึงนอนกลิ้งบนที่นอน คนนึงนั่งเป่าผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทั้งสองปล่อยโทรศัพท์หงายฉายภาพเพดานห้องทั้งคู่ มีเสียงไดร์เป่าผมเป็นซาวด์เอฟเฟคเบื้องหลัง

           ถ้าคนอื่นมาเห็นก็คงสงสัยว่าคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง…และทำไมถึงต้องวิดีโอคอลกันด้วย